jump to navigation

คนในอยากออก-คนนอกอยากเข้า (3) พฤษภาคม 27, 2009

Posted by 1000thainews in อื่นๆ.
Tags: ,
add a comment

คนในอยากออก-คนนอกอยากเข้า (3)

ใครที่สนอกสนใจเรื่องการเงินการคลังของภาครัฐเป็นพิเศษ ผมขอแจ้งกำหนดการที่ต้องติดตามข่าวสำคัญให้ทราบอย่างน้อย 2 เรื่องด้วยกัน

หนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ในวันพุธที่ 3 มิถุนายนที่จะถึงนี้

ผมประเมินในเบื้องต้นว่าไม่น่าขัด สามารถดำเนินการไปตามอำนาจที่มีได้โดยไม่ติดขัดครับ

สอง สภาผู้แทนราษฎรจะเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญช่วงระหว่างวันที่ 15-23 มิถุนายนนี้ เพื่อพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2553 ในวาระแรกเพื่อรับหลักการ ก่อนจะดำเนินการไปจนมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายให้ทันปีงบประมาณ 2553 ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2552

ผมประเมินในเบื้องต้นว่าไม่น่ามีปัญหา

แต่คงอภิปรายกันหูดับตับไหม้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยมีมา

พระราชกำหนดและพระราชบัญญัติสองฉบับนี้เกี่ยวเนื่องกัน และเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายการคลังในยามที่เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเป็นทางการ

เรื่องที่ควรทราบในชั้นนี้ก็มีเพียงเท่านี้ ที่เหลือก็ต้องติดตามกันต่อไป ถ้าหากมีประเด็นสำคัญต้องคุยเพิ่มเติมค่อยมาว่ากันอีกทีเมื่อถึงเวลาอันเหมาะควร

แต่ตอนนี้ไปคุยเรื่องที่ยังค้างไว้ให้จบซะก่อน

ผมเรียนไปแล้วว่าธนาคารและสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและฐานะเงินกองทุนเสื่อมทรุด เพราะปล่อยสินเชื่อแล้วมีปัญหาจนต้องแห่มาใช้บริการกู้เงินรัฐบาลไปเสริมสภาพคล่องร่วม 600 แห่ง ใช้เงินเบ็ดเสร็จเกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์นั้น มีทั้งพวกที่ไม่อยากเข้าร่วมโครงการแต่จำใจ พวกนี้กำลังรีบหาทางออกจากโครงการเป็นการด่วน กับอีกพวกที่จำใจต้องเข้าร่วมโครงการเพราะไม่มีทางเลือกอื่น รวมถึงพวกที่อยากเข้าเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยด้วย

ผมอยากเรียกว่ากลุ่มหลังนี้ ว่า คนนอกอยากเข้า หรือจะเรียกว่าจำใจต้องเข้าก็ได้ครับ

จำได้มั้ยครับว่าในระหว่างที่ธนาคารแห่งอเมริกา ธนาคารเวลส์ฟาร์โก และธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ กำลังดิ้นรนออกจากโครงการทุกวิถีทางอยู่นั้น

ในช่วงเวลาเดียวกัน มีธนาคารและสถาบันการเงินอีกไม่น้อยกว่า 14 แห่ง ต้องขอรับเงินช่วยเหลือสิริรวมไม่น้อยกว่า 107.6 ล้านดอลลาร์

คนนอกที่อยากเข้าล่าสุดนี้เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก มีขอบข่ายให้บริการภายในรัฐใดรัฐหนึ่งเป็นสำคัญ

ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารเมอร์แคนไทล์ แบงก์ คอร์ป จากเมืองแกรน แรบพิดส์ รัฐมิชิแกนรายนี้รับเงินช่วยเหลือไป 21 ล้านดอลลาร์ หรือธนาคารมาร์เก็ต สตรีท แบงก์แชร์ อิงค์ เมืองเมานท์เวอร์นอน รัฐอิลลินอยส์ รายนี้ขอรับเงินช่วยเหลือไป 20.3 ล้านดอลลาร์ ฯลฯ

ผมคิดว่าแม้สถานการณ์โดยรวมของวิกฤติเศรษฐกิจการเงินในสหรัฐในเวลานี้ จะผ่อนคลายลงไปมาก แต่ตราบใดที่ยังมีธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินจำนวนหนึ่งอยู่ไม่ได้ต้องปิดกิจการหรือควบรวมกับคนอื่น หรือยังมีสถาบันการเงินขอเข้าร่วมโครงการรับเงินช่วยเหลืออยู่อีก

ต้องถือว่าระบบสถาบันการเงินที่เป็นเลือดหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่เป็นปกติ และจะทำให้การฟื้นฟูวิกฤติเศรษฐกิจในรอบนี้ต้องทอดเวลาออกไปเนิ่นนานขึ้น

แต่นี้ก็ต้องบอกว่าถือว่าเป็นภาคแรกเท่านั้น เพราะหลังจากเข้าร่วมโครงการรับเงินช่วยเหลือไป ในอนาคตก็จะต้องฟื้นฟูกิจการให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ และถึงเวลานั้น ก็ต้องตัดสินใจว่าทางรัฐบาลจะขายหุ้นที่ถือไว้ให้เอกชนที่สนใจเอาไปบริหารจัดการเอง

อันที่จริงตราบใดที่ยังไม่มีกระบวนการเอา หนี้เน่า ออกจากระบบสถาบันการเงินอย่างจริงจัง ตราบนั้นก็ยังพูดไม่ได้เต็มปากว่าวิกฤติระบบสถาบันการเงินจบสิ้นแล้ว

เรื่องก็มีเท่านี้แหละครับ

 

อ่านต่อที่ : คนในอยากออก-คนนอกอยากเข้า (3)

อัตราดอกเบี้ยพิสูจน์ ฝีมือบริหารยามวิกฤติ พฤษภาคม 27, 2009

Posted by 1000thainews in อื่นๆ.
Tags: ,
add a comment

อัตราดอกเบี้ยพิสูจน์ ฝีมือบริหารยามวิกฤติ

ธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งเชียร์ทั้งแนะนำทั้งกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจอีกแรงหนึ่ง

  พร้อมกับยกตัวเลขให้ประชาชนเห็นว่าช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้นั้น ห่างมากเกินไปแล้ว สมควรที่คนกู้เงินจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่ถูกลง มิฉะนั้นเศรษฐกิจจะกระเตื้องลำบาก

 ทำไม ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งจึงลังเล?

 เหตุผลที่เราได้ยินจากนายธนาคารที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ก็คือว่าความจริงไม่มีแบงก์ไหนไม่อยากให้กู้ ต้องการจะปล่อยกู้จะตายอยู่แล้ว แต่เศรษฐกิจแย่อย่างนี้ ขืนปล่อยออกไปก็มีหวังจะเจอกับหนี้เสียหนี้เน่า หรือ NPL ย้อนกลับมา

 นายแบงก์บางคนบอกผมว่า “ตอนนี้อยากหาคนมากู้จะแย่อยู่แล้ว แต่รัฐต้องสร้าง demand ขึ้นมาก่อน จึงจะเกิดการผลิต  เมื่อมีการผลิต  เราก็ปล่อยกู้ได้…แค่รัฐมนตรีพูดเฉยๆ ไม่ได้สร้างอุปสงค์นี่นา…”

 แต่คนของธนาคารกลางโชว์ตัวเลขบอกว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ลดดอกเบี้ยลงแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีที่ผ่านมา 2.50% แต่ ธนาคารพาณิชย์ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามมาแต่ 1.19% และ ลดดอกเบี้ยเงินฝากลง 1.96%

 แปลว่า ธนาคารกลางกำลังบอกธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ใต้กำกับว่าจะต้องลดดอกเบี้ยเงินฝากลงมาอีก เพราะ “ช่องห่าง” ระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้กับเงินฝากนั้นกว้างจนทำให้เกิดภาวะน่าเกลียด…เผลอๆ จะทำให้เกิดข้อกล่าวหาจากสังคมว่านายแบงก์ “ค้ากำไรเกินควร”  เสียอีก

 นายธนาคารหลายแห่งจึงเริ่มปรับดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามลำดับ สัปดาห์ที่ผ่านมา แบงก์ใหญ่อย่างน้อย 4 แห่ง ทยอยปรับดอกเบี้ยเงินกู้เพียงขาเดียวโดยไม่แตะดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งต้องถือว่าเป็นการ “ถ้อยทีถ้อยช่วยเหลือกัน” ในยามที่ทุกคนต่างก็อยู่ในฐานะลำบาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าเศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง?

 ไม่มีใครสามารถจะบอกได้ว่า “แสงเล็กๆ ที่ปลายถ้ำ” นั้น เป็นแสงของปลายถ้ำจริง หรือเป็นดวงไฟของรถไฟขบวนใหญ่ที่กำลังวิ่งสวนมาอย่างน่ากลัว

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกรายงานว่า สินเชื่อคงค้างธนาคารพาณิชย์เดือนเมษายนที่ผ่านมา ยังหดตัวต่อเนื่อง ลดลงจากเดือนก่อนหน้า กว่า 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 0.18% นำโดยธนาคารขนาดใหญ่คือ แบงก์กรุงเทพ กสิกรไทย และ ไทยพาณิชย์

 สินเชื่อคงค้างที่หดตัวลงสวนทางกับเงินฝากที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉียด 8 พันล้านบาท คิดเป็น 0.12%

 รายงานเดียวกันนี้ บอกว่า “สภาพคล่อง” ของระบบธนาคารยังล้นอยู่ กล่าวคือ ณ สิ้นเดือนเมษายนนี้  สินทรัพย์สภาพคล่องมีจำนวน 2.31 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.47 หมื่นล้านบาท จาก 2.27 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม
 มองภาพรวมแล้ว พอสรุปได้ว่าระบบธนาคารมีเงินที่จะปล่อยกู้ได้มากขึ้น แต่เพราะเศรษฐกิจเสื่อมทรุด จึงไม่มีใครอยากกู้ และธนาคารก็ไม่ยอมปล่อยกู้ง่าย ๆ เพราะกลัวจะกลายเป็นหนี้เน่า

 ถามว่าธุรกิจระดับกลางและระดับเล็กที่มีความสามารถจะเอาตัวรอดในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ควรจะได้รับความช่วยเหลือด้วยการลดดอกเบี้ยเงินกู้หรือไม่?

 ก็ต้องตอบว่าธนาคารที่ใกล้ชิดกับลูกค้า และติดตามทิศทางเศรษฐกิจแต่ละภาคส่วนอย่างมืออาชีพนั้น จะต้องรู้ว่าควรจะต้องปล่อยสินเชื่อให้ใครและธุรกิจส่วนไหน ดังนั้น จึงสมควรจะต้องลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา และเพื่อประคับประคองให้ทั้งระบบผ่านวิกฤตินี้ให้ได้

 ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์จึงไม่จำเป็นต้องประกาศขึ้นลงดอกเบี้ยพร้อมกัน ด้วยการประชุมสมาคมธนาคารอย่างที่เคยทำมาในยามปกติ

 ความจริงแต่ละแบงก์ก็มีสภาพคล่องที่ต่างกัน มีฐานลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน และมีความคล่องตัวในการปล่อยกู้ และหาเงินฝากที่แตกต่างกันอยู่แล้ว

 ดังนั้น การปรับตัวของแต่ละธนาคาร จึงควรจะทำในระดับและจังหวะที่ต่างกัน เช่นกัน

 จึงเป็นหน้าที่ของธนาคารกลางที่จะต้องสร้างบรรยากาศ กติกา และเวทีสำหรับเป็นการแข่งขันกันในตลาดเสรี ซึ่งเป็นการเสริมส่งประสิทธิภาพของแต่ละสถาบันการเงินให้แข็งแกร่งอย่างมั่นคงอีกด้วย

 และเป็นหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ที่จะต้องเสริมสร้างความเป็นมืออาชีพ ใกล้ชิดกับลูกค้า ร่วมมือกับธุรกิจใหญ่ กลาง เล็ก ด้วยวิธีคิดและวิถีปฏิบัติที่แตกต่างอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับความเป็นจริงเพื่อให้ทุกฝ่ายฟันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ให้ผ่านไปได้อย่างถูกต้อง เป็นธรรม

 ในวิกฤติ ไม่มีใครเล่นบทพระเอกคนเดียวได้แน่นอน เพราะหากขืนชูธงว่าฉันเก่งคนเดียว ก็ตายลูกเดียว

อ่านต่อที่ : อัตราดอกเบี้ยพิสูจน์ ฝีมือบริหารยามวิกฤติ

คนในอยากออก-คนนอกอยากเข้า (2) พฤษภาคม 27, 2009

Posted by 1000thainews in อื่นๆ.
Tags: ,
add a comment

คนในอยากออก-คนนอกอยากเข้า (2)

เป็นไงครับได้เห็นตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ที่ หดตัวร้อยละ7.1ต่อเนื่องจากไตรมาสที่4ปีที่แล้วที่หดตัวร้อยละ4.2

คนอื่นว่าไงไม่รู้ แต่ผมไม่แปลกใจเพราะเป็นไปตามการคาดหมายครับ

แม้แต่การปรับประมาณการตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปี 2552 ว่า จะหดตัวระหว่างร้อยละ 2.5-3.5 ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเขาแสดงข้อมูลและเหตุผลอธิบายประกอบน่าเชื่อถือ ก็ต้องบอกว่าทำใจยอมรับได้สบายมากครับ

โลกทั้งโลกเขาเป็นกันแบบนี้ เราจะไปเก่งอยู่คนเดียวได้อย่างไร ยิ่งเศรษฐกิจไทยเชื่อมกับเศรษฐกิจโลกทั้งด้านการค้าการลงทุนมากอย่างนี้ ยังไงๆ ก็หนีไม่พ้นต้องรับผลกระทบจากคู่ค้าไม่ทางตรงก็ทางอ้อมแบบนี้แหละครับ

รัฐบาลเองก็มีกระสุนในมืออันจำกัด เท่าที่ประคองมาจนถึงปัจจุบันได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว

เอาแค่อย่าทำอะไรให้ประชาชนหงุดหงิดมากไปกว่านี้ก็พอแล้วละครับ

กลับมาว่ากันต่อเรื่องที่คุยค้างเอาไว้เมื่อวานนี้ เรื่องคนในอยากออก-คนนอกอยากเข้า ซึ่งผมหมายถึงบรรดาธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา ที่รับเงินช่วยเหลือประมาณ 200,000 ล้านดอลลาร์ เป็นจำนวนเกือบ 600 รายนั่นแหละครับ

ที่ผมอยากบอกว่าคนในอยากออก ก็คือ บรรดาสถาบันการเงินที่รับเงินช่วยเหลือมาแล้ว พอมาถึงจุดนี้เห็นว่าสถานการณ์โดยรวมพอประคับประคองตัวเองได้ ก็เริ่มการเคลื่อนไหวจะขอคืนเงินกู้ยืมที่กระทรวงการคลังให้มาช่วยเพิ่มทุนก่อนหน้านี้

การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีทั้งธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่ยังมีความจำเป็นจะต้องเพิ่มทุนและที่ไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มทุนผสมผสานกัน แต่เหตุผลซ่อนเร้นดูเหมือนจะไม่ต่างกัน

เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะสถาบันการเงินที่รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลนั้น นอกจากจะมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับกระทรวงการคลังที่มาถือหุ้นบุริมสิทธิในธนาคารพาณิชย์ในอัตราสูงถึงร้อยละ 5 แล้ว ยังมีกฎกติกามารยาทอื่นที่ต้องปฏิบัติตามมาอีกเป็นกระบุง

คณะกรรมการธนาคารที่แต่เดิมเป็นคนในภาคเอกชนพูดจาภาษาเดียวกัน บัดนี้มีคนอื่นเข้ามานั่งแทรกกลางและทำอะไรก็ต้องบอกกล่าวกันจนหมดเปลือก แถมผลตอบแทนทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินที่เคยจ่ายกันคล่องมือนั้น

บัดนี้จะทำอย่างเดิมไม่ได้

จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องชำระคืนเงินกู้ที่กู้มาให้จบสิ้น เพื่อจะได้เป็นไทแก่ตัวเองเสียก่อน เพราะฉะนั้นจึงไม่แน่แปลกใจที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่ง ประกาศเพิ่มทุนโดยขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิม หรือเสนอขายให้กับประชาชนเป็นการทั่วไปเพื่อปลดแอก

ระดมเงินมาได้เท่าไรก็จะรีบไปใช้คืนเงินกู้ที่กู้มาจากกระทรวงการคลังทันที

ความเคลื่อนไหวล่าสุด ก็คือ ธนาคารแห่งอเมริกา หรือแบงก์ออฟ อเมริกา ซึ่งประกาศว่าจะกอบกู้ฐานะด้วยการเสนอขายหุ้น เพื่อระดมเงินประมาณ 13,470 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะดำเนินการไปพร้อมๆ กับการขายเงินลงทุนในต่างประเทศด้วย

ธนาคารแห่งอเมริกาลงทุนซื้อหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของจีน คือ ธนาคารไชน่า คอนสตรัคชั่น แบงก์ คอร์ป เอาไว้นานนมแล้ว มาบัดนี้ได้ตัดสินใจขายหุ้นที่ถือไว้ออกไปโดยคาดว่าจะได้เงินประมาณ 7,300 ล้านดอลลาร์

นี่ขนาดว่าผลทดสอบออกมาว่าเงินกองทุนไม่เพียงพอ ซึ่งน่าจะทำให้ขายหุ้นเพิ่มทุนยากนะครับ

สำหรับรายอื่น อย่างเช่น ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก เอง ก็เตรียมการระดมเงินขายหุ้นเพิ่มทุนเอาไว้ประมาณ 8,600 ล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับมอร์แกน สแตนเลย์ ซึ่งก็หวังว่าจะระดมเงินไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์

แม้ว่าการระดมเงินครั้งล่าสุดของธนาคารแห่งอเมริกา จะไม่เพียงพอคืนเงินกู้ทั้งก้อน 45,000 ล้านดอลลาร์ได้หมด หรือในกรณีของมอร์แกน สแตนเลย์ ที่ใช้บริการเงินกู้จากรัฐบาล 20,000 ล้านดอลลาร์ การขายหุ้นเพิ่มทุนหรือขายทรัพย์สินและเงินลงทุนออกไปก็ไม่เพียงพอเช่นกัน

แต่การดิ้นรนออกจากกรงเล็บของทางการที่ว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริม และถ้าหากทำให้นักลงทุนมั่นใจด้วยก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยเริ่มต้นจากภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นลำดับแรก

นี่เป็นพวกคนในอยากออก ส่วนพวกคนนอกอยากเข้าเป็นฉันใด

พรุ่งนี้จะคุยต่อครับ

 

อ่านต่อที่ : คนในอยากออก-คนนอกอยากเข้า (2)

SIRIชิมลาง หุ้นกู้พันล้าน ดอก6.25% พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in หุ้น.
Tags: , , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

SIRIชิมลาง หุ้นกู้พันล้าน ดอก6.25%

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า ปลายเดือนพ.ค.นี้ บริษัทจะออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีอายุ 3 ปี จ่ายดอกเบี้ย 6.25% ต่อปี ซึ่งยอมรับว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเมื่อเทียบกับหุ้นกู้ของบริษัทอื่นๆ เพราะอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทอยู่ในระดับ BBB- จึงจำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทั้งนี้บริษัทขายผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์

“ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทหันมาหาแหล่งเงินจากการออกหุ้นกู้ ซึ่งก็อยากจะทดลองหาวิธีการใหม่ ส่วนวงเงินที่ออกถือว่าเพียงพอ เพราะบริษัทยังมีสภาพคล่องเหลืออยู่” นายเศรษฐา กล่าว

ก่อนหน้านี้บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่มีอันดับเครดิตที่ AAA ประกาศขายหุ้นกู้ให้กับประชาชนและนักลงทุนทั่วไปวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท อายุ 3 ปีจ่ายดอกเบี้ย 3.25%

สำหรับผลประกอบการของ SIRI งวดไตรมาสแรกปี 2552 บริษัทมีกำไรสุทธิ 118.98 บาท หรือ 0.08 บาทต่อหุ้น พุ่งขึ้น 146.90% จากขาดทุน 253.66 ล้านบาท หรือ 0.17 บาทต่อหุ้น

นางปรารถนา มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแผนออกหุ้นกู้เพิ่มเติมเพราะต้องรอโอกาส และบริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารพาณิชย์อีก 4,000 ล้านบาท

ด้านบริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้เปลี่ยนแนวโน้มความน่าเชื่อถือของเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท ที่ระดับ Baa3 และหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิสกุลเงินต่างประเทศของบริษัท ปตท.เคมิคอล (PTTCH) เป็นเชิงลบ จากเดิมที่มีเสถียรภาพ เพราะสถานภาพทางการเงินที่อ่อนตัวลงของ PTTCH

อ่านต่อที่ : SIRIชิมลาง หุ้นกู้พันล้าน ดอก6.25%

หุ้นไทยช่วงเช้ารูดลงตามตลาดต่างประเทศ พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , ,
add a comment

หุ้นไทยช่วงเช้ารูดลงตามตลาดต่างประเทศ

หุ้นไทยช่วงเช้ารูดลงตามตลาดต่างประเทศ

กรุงเทพฯ 14 พ.ค. – ภาวะการซื้อขายหุ้นเช้าวันนี้ ดัชนีปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ปิดตลาดการซื้อขายภาคเช้าที่ 534.41 จุด ลดลง 18.30 จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,614.69 ล้านบาท โดยมีแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่ นำโดยกลุ่มพลังงาน เช่น บ้านปู, ปตท., ปตท.สผ. และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งการปรับลดลงในช่วงเช้านี้ สอดคล้องกับที่ตลาดดาวน์โจนส์ที่ปรับลดลง เช่นเดียวกับตลาดเอเชียที่ลดลง สาเหตุเพราะความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ หลังตัวเลขยอดค้าปลีกต่ำกว่าคาดการณ์

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี กล่าวว่า การปรับตัวหุ้นไทยถือเป็นการปรับฐาน เช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังมีสัญญาณทางเทคนิคพบว่ามีการซื้อมากเกินไป หลังจากหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 400 จุด มาถึง 550 จุด ส่วนภาคบ่ายต้องติดตามว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เข้ามาก่อนหน้านี้จะขายทำกำไรออกมาอีกหรือไม่ หากหลุดแนวรับ 530 จุด ก็จะไหลออกไปที่ 520 จุด.- สำนักข่าวไทย

อ่านต่อที่ : หุ้นไทยช่วงเช้ารูดลงตามตลาดต่างประเทศ

สนข.เปิดฟังความเห็นการพัฒนาระบบตั๋วร่วม พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

สนข.เปิดฟังความเห็นการพัฒนาระบบตั๋วร่วม

สนข.เปิดฟังความเห็นการพัฒนาระบบตั๋วร่วม

กรุงเทพฯ 14 พ.ค. – สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดสัมมนารับฟังความเห็นเพื่อเตรียมการจัดทำโครงการศึกษาการใช้ระบบตั๋วร่วม เพื่อส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนและการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการรายได้ (เคลียร์ริ่งเฮ้าส์) โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทที่ปรึกษา รวมทั้งผู้สนใจเข้าร่วม

นายประณต สุริยะ รองผู้อำนวยการ สนข.กล่าวว่า ในการศึกษาเรื่องดังกล่าว สนข.ได้ศึกษาแนวทางไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งหลังจากนี้จะมีการเปิดให้ผู้เกี่ยวข้องแสดงความเห็นว่า รูปแบบที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ระบบขนส่งที่จะร่วมในโครงการควรมีระบบใดบ้าง รูปแบบขององค์กรที่ทำหน้าที่จัดแบ่งรายได้ หลังจากรับฟังความเห็นแล้ว ก็จะเสนอต่อกระทรวงคมนาคมเพื่อมอบแก่รัฐบาลเพื่อตัดสินใจต่อไป

ทั้งนี้ จากผลศึกษาที่ สนข.ได้จัดทำไว้ ระบบตั๋วร่วมระยะแรก จะนำผู้ให้บริการคือ รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟชานเมือง รถบีอาร์ที ขสมก.และเรือโดยสาร เข้าในโครงการ โดยจะมีการดำเนินการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการรายได้ที่จะมีบทบาทในการแบ่งรายได้และดูแลตั๋วร่วม ซึ่งเรื่องนี้แม้จะมีผลศึกษามายาวนาน แต่ก็ไม่มีความชัดเจนในการดำเนินการ ที่ผ่านมาบีทีเอสและบีเอ็มซีแอลเคยลงนามร่วมกันจัดทำระบบตั๋วร่วม แต่มีปัญหาด้านงบประมาณ จึงยังไม่มีข้อสรุปจนถึงขณะนี้. -สำนักข่าวไทย

อ่านต่อที่ : สนข.เปิดฟังความเห็นการพัฒนาระบบตั๋วร่วม

‘กอร์ป’ขย่มธปท.เลิกเฮี้ยบ พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , ,
add a comment

‘กอร์ป’ขย่มธปท.เลิกเฮี้ยบ

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เสนอแนะให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ เพื่อผลักดันให้มีการปล่อยกู้ช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการได้มากขึ้น แม้จะยอมรับว่าเป็นเรื่องลำบากใจหากไม่มีมาตรการที่เข้มงวด เพราะอาจจะก่อให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้นโยบายการคลังใช้เต็มพิกัดแล้ว ต้องมีนโยบายการเงินเข้ามาช่วยเหลือ รัฐบาลก็เห็นใจธปท. ที่กังวลว่าหากปล่อยให้อนุมัติสินเชื่อกันได้โดยง่ายในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีจะทำให้เกิดปัญหาหนี้เสีย แต่ธปท. ก็ต้องยอมรับในหลักการเช่นกันว่า ถ้าหากปล่อยให้ธุรกิจประสบปัญหา ก็จะกลับมาเป็นหนี้เสีย

รองนายกฯ กล่าวต่อว่า รัฐบาลจะพยายามเร่งดำเนินการจัดสรรงบประมาณไปยังโครงการต่างๆ เพื่อจะทำให้เกิดการเซ็นสัญญากับภาคเอกชน ซึ่งภาคเอกชนจะได้ นำสัญญาที่ทำไว้กับรัฐบาลไปใช้เป็นหลักฐาน เพื่อขอกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ได้

แหล่งข่าวธปท. เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาธปท. ได้ติดตามสถานการณ์ด้านสินเชื่ออยู่ เพราะในขณะนี้เริ่มติดขัด เพราะความสุ่มเสี่ยงหนี้เสียนั้นเพิ่มขึ้นทั้งสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อธุรกิจ ทำให้สถาบันการเงินต่างเข้มงวดในการพิจารณาปล่อยกู้และลดวงเงินกู้ลงมา แม้วิธีนี้จะเข้มงวด แต่ก็มีผลทำให้หนี้เสียเกิดขึ้นเช่นกัน

“เรารับรู้ว่าทางการต้องการให้คลายกฎในเรื่องบาเซิล 2 แต่คงทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือทำให้ธนาคารลดดอกเบี้ยลงมาให้เร็ว ที่สุด” แหล่งข่าวเปิดเผย

อ่านต่อที่ : ‘กอร์ป’ขย่มธปท.เลิกเฮี้ยบ

ธ.ชาติฟุ้งบีไอเอสไทยสูงกว่าทั่วโลก พฤษภาคม 13, 2009

Posted by 1000thainews in ทั่วไป.
Tags: , , , , , , , , , ,
add a comment

ธ.ชาติฟุ้งบีไอเอสไทยสูงกว่าทั่วโลก

นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่นาย นอท เวลลิ้งค์ ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ ระบุว่าต้องการให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงหรือบีไอเอสเพื่อรองรับวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งต่อไปว่า  ยังไม่ได้ข้อยุติ เป็นเพียงแนวความคิดของหลายคนที่ต้องการแก้ปัญหาวิกฤติการเงิน ซึ่งต้อง รอดูรายละเอียดก่อนว่าสาเหตุของการเปลี่ยน  กฎเกณฑ์เพราะอะไร โดยเห็นว่ามาตรฐานของธนาคารพาณิชย์ไทยสูงกว่าโลก โดยบีไอเอส เฉลี่ยอยู่ที่ 15% จากเดิมที่ ธปท. กำหนดไว้ไม่เกิน 8.5% ขณะที่บีไอเอสของธนาคารทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 8%
 
“การมีเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์มากเกินไปก็เป็นภาระต้นทุนต่อสถาบันการเงิน ถ้าน้อยเกินไปจะทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์อ่อนแอ ซึ่งเห็นว่าเงินกองทุนฯ ควรอยู่ในระดับกลางถึงมีความเหมาะสม และเห็นว่าธนาคารพาณิชย์ไทยแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ โดยเน้นธุรกิจในประเทศไม่ได้มี  สินทรัพย์ในต่างประเทศเหมือนกับธนาคารต่างประเทศ”.

อ่านต่อที่ : ธ.ชาติฟุ้งบีไอเอสไทยสูงกว่าทั่วโลก

ซินเน็คหวั่นNPLพุ่งเหตุเพิ่มวงเงินเครดิตลูกค้า พฤษภาคม 13, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

ซินเน็คหวั่นNPLพุ่งเหตุเพิ่มวงเงินเครดิตลูกค้า

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) (SYNEX) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทอาจจะมีตัวเลขเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.1%ของยอดขายรวม จากปีก่อนมีน้อยมาก เพราะต้องเพิ่มวงเงินเครดิตให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าด้วยระบบสินเชื่อ หลังจากที่วิกฤตเศรษฐกิจทำให้ลูกค้ามีอุปสรรคในการซื้อสินค้าไอที โดยเฉพาะการกู้เงินกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีความเข้มงวดมาก และไม่ยอมปล่อยกู้ให้กับลูกค้า

บริษัทจึงต้องยอมเพิ่มวงเงินให้กับลูกค้า แต่ต้องแบกรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ซึ่งระดับเอ็นพีแอลนี้ บริษัทมีความสามารถรับภาระได้ ซึ่งระดับเอ็นพีแอลโดยทั่วไป ที่น่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 0.5%ของยอดขายรวม

เขากล่าวว่า รายได้รวมปีนี้อยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท และ ปีนี้กำไรสุทธิอาจจะลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 122.98 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และราคาขายสินค้าต่อหน่วยลดลง แต่กำไรสุทธิคงไม่ลดลงเท่ากับที่คาดไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาคือ 20% เพราะได้ปรับกลยุทธ์ดำเนินงานใหม่ เช่น การเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัดคาดว่ามาร์เก็ตแชร์น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 30%

นอกจากนี้ยังลดต้นทุนดำเนินงาน โดยปีนี้จะลดต้นทุนได้ 1% หรือเหลือ 3% จากปีก่อนที่มีต้นทุนดำเนินงานอยู่ที่ 4% อีกทั้งบริษัทยังตั้งเป้าเปิดร้านค้าประเภทแฟรนไชส์ให้เพิ่มเป็น 20 แห่งจากปัจจุบันที่ 10 แห่ง เพื่อขยายฐานลูกค้าและยอดขาย

\”ส่วนเรื่องสภาพคล่องไม่มีปัญหา เพราะปัจจุบันมีกระแสเงินสดในมือ 100-200 ล้านบาท ถือเป็นโอกาส และพยายามบริหารสินค้าคลังให้มีสภาพคล่องมากขึ้น โดยอายุสินค้าคงคลังจะลดลงเหลือ 25-27 วัน จากเดิมอายุเฉลี่ยของสินค้าคงคลังอยู่ที่ 30 วัน ทำให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น\”

ปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่จะมีโมเดลใหม่เข้ามาแทน สัดส่วนรายได้หลักปีนี้มาจากสินค้าประเภทโน้ตบุ๊ค และยังได้รับผลดีจากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) สนับสนุนให้ใช้สินค้าในประเทศน่าจะทำให้สินค้าไอทีประเภทโลคอลแบรนด์จะได้รับความสนใจมากขึ้น เหมือนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สินค้าดังกล่าว เคยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 60-70% ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 30%

ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจนถึงปัจจุบันซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 9.18 ล้านหุ้น หรือ 1.35% ของทุนชำระแล้ว มูลค่ารวม 9.42 ล้านบาท และยังมีเวลาซื้อหุ้นคืนอีก 3 เดือน ส่วนหุ้นซื้อคืนหลังปิดโครงการ จะเสนอขายให้นักลงทุนสถาบัน เมื่อภาวะตลาดดีขึ้น

นายสุพันธุ์ กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจนอกประเทศ มีแนวโน้มดีขึ้น แต่เศรษฐกิจในไทย ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองจะนิ่งหรือไม่ หากยังมีปัญหาอยู่เรื่อยๆ และควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ จะเกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมสินค้าไอที ปีนี้ปรับตัวลดลงติดลบ 0-5%

อ่านต่อที่ : ซินเน็คหวั่นNPLพุ่งเหตุเพิ่มวงเงินเครดิตลูกค้า

เหตุเกิดที่ ธอส. พฤษภาคม 13, 2009

Posted by 1000thainews in อื่นๆ.
Tags: , , , , , , , , , ,
add a comment

เหตุเกิดที่ ธอส.

ความโบราณที่ว่านั้นลงลึกถึงขนาดว่าผมไม่มีบัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิตไว้ใช้เหมือนกับคนทั่วไป

 

อยู่ได้ครับ ถ้าหากจะมีคนมาถามว่าอยู่ได้มั้ย

 

อันที่จริงจะว่าไปแล้ว บัตรเอทีเอ็มเองก็ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์อะไรที่เก่าแก่ในแวดวงธนาคารพาณิชย์ เพราะเป็นเรื่องที่เพิ่งจะมีนับย้อนไปได้สักยี่สิบปีเท่านั้นเอง

 

ใครที่ยังพอจำได้ก็คงรู้ว่าธนาคารไทยพาณิชย์สมัยที่คุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นคนริเริ่มเรื่องนี้และทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีภาพพจน์ที่แสนจะเชยผงาดขึ้นมาเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ทันสมัยภายในชั่วเวลาแค่ข้ามคืน

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น มีพัฒนาการเช่นไรกว่าจะมาจบลงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

ขี้เกียจคุยให้ฟังเพราะเรื่องมันยาว

 

สำหรับเรื่องบัตรเครดิตนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะผมไม่คิดจะใช้แต่ไหนแต่ไรมาอยู่แล้ว แม้จะเห็นความสะดวกอยู่บ้างโดยเฉพาะตอนเดินทางไปต่างประเทศ แต่ในเมื่อเวลาไปต่างประเทศก็ไม่ได้เสียเงินเสียทองเพราะมีคนจัดการให้หมด และปกติก็ไม่ใช่คนชอบซื้อของต่างประเทศ ลำพังแค่เงินสดที่พกติดตัวไปก็ต้องบอกเหลือกลับมาทุกครั้งอยู่แล้ว

 

ผมก็เลยไม่เดือดร้อนอะไรที่ไม่มีบัตรเครดิต

 

อาจจะมีคนถามขึ้นมาว่า อะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้ไม่ใช้บริการอันทันสมัยทางการเงินที่ว่า ผมก็อยากจะเรียนว่า ผมไม่ค่อยศรัทธาในอะไรก็ตามที่มันจับต้องไม่ได้ ยิ่งเป็นเรื่องเงินทองที่โอนกันไปโอนกันมาวุ่นวายด้วยแล้ว

 

บอกตรงๆ ว่า มันพลาดกันง่ายเหลือเกิน

 

ผมคิดว่าหลายคนที่ไปติดต่อฝากถอนเงินที่เคาน์เตอร์ของสาขาธนาคารพาณิชย์จำนวนไม่น้อยน่าจะเคยมีประสบการณ์เหมือนผม คือ ฝากกลายเป็นถอน เพราะฝีมือของมนุษย์ที่คีย์ข้อมูลรายการผิดพลาดลงไปในสมุดบัญชีเงินฝาก

 

ใครที่ฝากคนอื่นไปทำรายการให้ที่ธนาคารพาณิชย์ ก็อาจจะมีความเสี่ยงที่ไม่คาดหมายเกิดขึ้นเพิ่มเติมได้มากกว่านี้อีก เพราะฉะนั้น ผมจึงทำเรื่องนี้ด้วยตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าฝากหรือถอนเงินแต่ละครั้ง

 

น้องๆ ที่ธนาคารพาณิชย์ที่ไปติดต่อ ยังแซวว่าทำไมต้องมาเองด้วย จะบอกเขาว่าไม่เชื่อใจระบบคอมพิวเตอร์ของคุณก็เกรงใจเขา ก็เลยพูดไปเพียงแค่ว่าแวะผ่านมาพอดี

 

นี่เป็นโลกของคนต้องติดต่อกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อใช้บริการเพียงแค่ฝากถอนเงินในบัญชี ถ้าหากต้องไปเกี่ยวข้องเป็นลูกหนี้ผู้กู้คงจะวุ่นวายพิลึก

 

ด้วยวัตรปฏิบัติเช่นนี้ ผมจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอันมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับธนาคารอาคารสงเคราะห์

 

เรื่องก็มีอยู่ว่าพนักงานธนาคารแห่งนี้ที่สาขาเซนต์หลุยส์ 3 สามารถโยกย้ายเงินจาก บัญชีดอกเบี้ย ของธนาคารที่จะโอนเข้าสู่บัญชีเงินฝากของลูกค้าไปเข้ากระเป๋าตัวเองได้

 

ทำเป็นนิตย์ ทำอย่างเป็นกิจจะลักษณะต่อเนื่องกันเป็นเวลาปีเศษ ไม่รู้ว่าทำทุกวันหรือไม่ แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่า แกทำจนยักยอกเงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ออกไปได้สิริรวม 499 ล้านบาท

 

ตีเสียว่า 500 ล้านก็แล้วกัน

 

ผมไม่รู้ว่าแกทำได้ยังไงตลอดระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้ โดยที่ผู้บริหารระดับสูงที่สาขาไม่เอะใจสักนิด โดยที่ผู้รับผิดชอบในระดับสูงขึ้นไปไล่ไปจนถึงฝ่ายปฏิบัติการบัญชีของลูกค้าที่สำนักงานใหญ่ไม่ทราบได้อย่างไร

 

เท่าที่ทราบธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีปัญหาหมักหมมยังสะสางกันไม่เสร็จเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการกลางของธนาคาร ทำให้เกิดข้อผิดพลาดอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องเน่าในที่ยังล้างท้องถ่ายพยาธิกันไม่เรียบร้อย

 

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มีคำถามตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำได้ยังไง ทำคนเดียวหรือทำกันเป็นคณะบุคคล ไม่รวมคำถามว่านี่เป็นกรณีเดียวหรือยังมีกรณีอื่นที่ยังตรวจไม่พบอีก ด้วยหรือไม่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องแต่เฉพาะบัญชีดอกเบี้ยของธนาคารหรือว่าลามปามไปถึงบัญชีเงินฝาก บัญชีลูกหนี้ของธนาคารด้วยหรือเปล่า

 

สรุปความได้ว่างานนี้ต้องจบลงด้วยการโละทิ้งผู้เกี่ยวข้องกระบิใหญ่อย่างแน่นอนครับ

 

อ่านต่อที่ : เหตุเกิดที่ ธอส.