09:03 น. WHOระบุไม่พบหลักฐานว่าหวัด 2009 เกิดจากความผิดพลาดในห้องแลป พฤษภาคม 15, 2009
Posted by 1000thainews in ข่าวด่วน.Tags: การตัดสินใจ, ความพยายาม, ดีว่า, ที่, นักวิทยาศาสตร์, ป้องกันไข้หวัด, ยาต้านไวรัส, วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่, วันพฤหัสบดี, วิทยาศาสตร์, องค์การอนามัยโลก, เทคโนโลยีใหม่, เทคโนโลยีใหม่ๆ, แบ่งปัน, ไวรัส
add a comment
09:03 น. WHOระบุไม่พบหลักฐานว่าหวัด 2009 เกิดจากความผิดพลาดในห้องแลป
15 พค. 2552 09:03 น.
นายเคอิจิ ฟูคูดะ เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO แถลงที่นครเจนีวาของสวิสเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ไม่พบหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฏี ในรายงานที่นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ชื่อนายเอเดรียน กิบส์ ได้เสนอต่อ WHO เมื่อวันเสาร์ที่ว่าที่ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ปี 2009 หรือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่เอ เอช 1 เอ็น 1 ได้ถูกสร้างขึ้นในห้องแลป ระหว่างความพยายามที่จะผลิตวัคซีนป้องกันโรค
เขากล่าวด้วยว่า นักวิทยาศาสตร์ของ WHO ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบทฤษฎีนี้และเชื่อว่าไม่เป็นความจริง มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ว่าไวรัสชนิดนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่กรณีนี้ก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการร่วมมือกันข้ามพรมแดนของประเทศต่างๆ และนักวิทยาศาสตร์ยังได้ใช้ประโยชน์จากการที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ช่วยให้มีการแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันได้ดีกว่าในอดีต พร้อมย้ำด้วยว่า จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าไวรัสชนิดนี้มีอาการดื้อยาต้านไวรัสที่ใช้อยู่
ในวันเดียวกัน บริษัทผู้ผลิตวัคซีนและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระ ประชุมร่วมกันที่ WHO ในนครเจนีวา เพื่อหารือเกี่ยวกับการตัดสินใจในประเด็นต่างๆ ก่อนเร่งผลิตวัคซีนที่จะใช้ป้องกันโรคนี้ ซึ่งรวมทั้งการตัดสินใจว่าเมื่อใดจึงสมควรจะเปลี่ยนการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ธรรมดา มาเป็นวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่อาจระบาดไปทั่วโลก อย่างในปัจจุบัน ผลที่ได้จากการประชุมจะส่งต่อถึงนางมาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการ WHO ผู้คาดว่าจะออกคำแนะนำในเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้า
อ่านต่อที่ : 09:03 น. WHOระบุไม่พบหลักฐานว่าหวัด 2009 เกิดจากความผิดพลาดในห้องแลป
WHOปัดหวัด 2009 เกิดในห้องแล็บ ยันมาจากธรรมชาติ พฤษภาคม 15, 2009
Posted by 1000thainews in ทั่วไป.Tags: การตัดสินใจ, ความจริง, ความพยายาม, ธรรมชาติ, นักวิทยาศาสตร์, ป้องกันไข้หวัด, ยาต้านไวรัส, วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่, วิทยาศาสตร์, องค์การ, องค์การอนามัยโลก, เทคโนโลยีใหม่, เทคโนโลยีใหม่ๆ, แบ่งปัน, ไวรัส
add a comment
WHOปัดหวัด 2009 เกิดในห้องแล็บ ยันมาจากธรรมชาติ
WHOปัดหวัด 2009 เกิดในห้องแล็บ ยันมาจากธรรมชาติ
นายเคอิจิ ฟูคูดะ เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลก แถลงที่นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ว่า ไม่พบหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฏี ในรายงานที่นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ชื่อนายเอเดรียน กิบส์ ได้เสนอต่อองค์การอนามัยโลกว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ปี 2009 ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองระหว่างความพยายาม ในการผลิตวัคซีนป้องกันโรค
นายฟูคูดะ กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลกได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบทฤษฎีนี้และเชื่อว่าไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ไวรัสชนิดนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการร่วมมือกันข้ามพรมแดน และนักวิทยาศาสตร์ยังได้ใช้ประโยชน์จากการที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันได้ดีกว่าในอดีต พร้อมย้ำด้วยว่า จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าไวรัสชนิดนี้มีอาการดื้อยาต้านไวรัสที่ใช้อยู่
วันเดียวกัน บริษัทผู้ผลิตวัคซีนและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระ ประชุมร่วมกันที่องค์การอนามัยโลก เพื่อหารือตัดสินใจในประเด็นต่างๆ ก่อนเร่งผลิตวัคซีนที่จะใช้ป้องกันโรคนี้ ซึ่งรวมทั้งการตัดสินใจว่า เมื่อใดจึงสมควรเปลี่ยนการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ธรรมดา มาเป็นวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ที่อาจระบาดไปทั่วโลกอย่างในปัจจุบัน
อ่านต่อที่ : WHOปัดหวัด 2009 เกิดในห้องแล็บ ยันมาจากธรรมชาติ
เม็กซิโกรับต้องใช้เวลา6เดือนขจัดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เด็ดขาด พฤษภาคม 15, 2009
Posted by 1000thainews in ต่างประเทศ.Tags: astvผู้จัดการออนไลน์, ความพยายาม, ที่ท่องเที่ยว, ผู้จัดการ, ผู้จัดการออน, ผู้จัดการออนไลน์, ระบาด, วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่, สถานที่ท่องเที่ยว, เม็กซิโก, โรคติดต่อ, ไข้หวัด, ไข้หวัดนก, ไข้หวัดใหญ่, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
add a comment
เม็กซิโกรับต้องใช้เวลา6เดือนขจัดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เด็ดขาด
เม็กซิโกรับต้องใช้เวลา6เดือนขจัดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เด็ดขาด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
15 พฤษภาคม 2552 04:27 น.
ชาวเม็กซิโกยังต้องสวมหน้ากากระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน
เอเจนซี – เมืองหลวงของเม็กซิโก ซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เอช1เอ็น1มากกว่าที่ไหนๆ จะต้องใช้เวลามากกว่า 6 เดือนในการปราบโรคนี้อย่างราบคาบ มาร์เซโล เอบราร์ด กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี(14)
เอบราร์ด บอกกับรอยเตอร์ว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงเม็กซิโกซิตี มีจำนวนลดลงและไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีกมานานราว 1 สัปดาห์แล้ว ขณะที่พลเมืองหลายล้านคนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ หลังเมืองที่คับคั่งแห่งนี้ถูกปิดเป็นเวลา 10 วันเพื่อจำกัดการแพร่ระบาด
อย่างไรก็ตามเมืองแห่งนี้ยังไม่อาจพูดได้ว่าปลอดจากโรคนี้อย่างสมบูรณ์ จนกว่าการพัฒนาวัคซีนจะแล้วเสร็จ
“อาจต้องใช้เวลาราว 5 หรือ 6 เดือน ก่อนที่คุณสามารถยืนยันได้ว่าปัญหาสุขภาพคลี่คลาย 100 เปอร์เซ็นต์” เอบราร์ด ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ “จุดสำคัญคือเมื่อมีการผลิตวัคซีนออกมา”
ผู้เชี่ยวชาญคาดคะเนว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยมีผู้ติดเชื้อเกือบ 6,500 คน ใน 33 ประเทศ
กรุงเม็กซิโกซิตี คือเมืองที่มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์2009 มากที่สุดในเม็กซิโก จากยอดรวมทั่วประเทศทั้งหมด 64 ราย
การสั่งปิดร้านอาหาร บาร์ โรงภาพยนตร์ โรงละคร โบสถ์ สำนักงาน สถานที่ราชการ โรงเรียนและสถานที่สาธารณะอื่นๆชั่วคราว ในความพยายามหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อได้ทำร้ายเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกันยอดของโรงแรมก็ลดลงราว 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบอย่างสาหัส เอบราร์ดระบุ
เขากล่าวว่าเมืองหลวงของเม็กซิโกแห่งนี้ จะเรียนรู้จากเมืองอื่นๆที่เคยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออื่นๆ อาทิไข้หวัดนกและโรคซาร์ส ในความพยายามกลับคืนสู่ภาวะปกติ
อ่านต่อที่ : เม็กซิโกรับต้องใช้เวลา6เดือนขจัดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เด็ดขาด
เบลเยียมพบผู้ติดเชื้อH1N1รายแรก-เม็กซิโกปรับเพิ่มยอดตายเป็น60 พฤษภาคม 14, 2009
Posted by 1000thainews in ต่างประเทศ.Tags: กระทรวงสาธารณสุข, ความพยายาม, ท่อง, ธุรกิจ, นักท่องเที่ยว, สาธารณสุข, เชื้อไวรัส, เที่ยว, เม็กซิโก, ไข้หวัด, ไข้หวัดใหญ่, ไวรัส
add a comment
เบลเยียมพบผู้ติดเชื้อH1N1รายแรก-เม็กซิโกปรับเพิ่มยอดตายเป็น60
เบลเยียมพบผู้ติดเชื้อH1N1รายแรก-เม็กซิโกปรับเพิ่มยอดตายเป็น60
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 พฤษภาคม 2552 02:45 น.
รัฐมนตรีสาธารณสุขเบลเยียมแถลงพบผู้ติดเชื้อไวรัส
เอเอฟพี – กระทรวงสาธารณสุขเม็กซิโกเมื่อวันพุธ(13) ปรับเพิ่มยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสเอช1เอ็น1อีก 2 รายเป็น 60 คน แต่ชี้การแพร่ระบาดลดลงและไม่เป็นภัยต่อนักท่องเที่ยวในความพยายามฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศ ด้านเบลเยียมกลายเป็นชาติล่าสุดที่ยืนยืนพบผู้ติอเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์2009นี้
โฮเซ คอร์โดวา รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเม็กซิโก บอกกับผู้สื่อข่าวว่าพบผู้ติดเชื้อภายในประเทศที่เป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอีก 162 คนเป็น 2,386 คน แต่ย้ำว่าการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ผ่านจุดพีกสุดไปแล้วนับตั้งแต่ปลายเดือนที่ผ่านมา
“ไม่มีอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยว” รัฐมนตรีสาธารณสุขบอก พร้อมเน้นว่าผู้ติดเชื้อทั้งหมดที่พบ ณ สถานที่ท่องเที่ยว เกิดขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
คอร์โดวา กล่าวว่าพบผู้ติดเชื้อ 7 รายที่เมืองตากอากาศแคนคุน ฝั่งทะเลแคริบเบียน 8 รายในอะคาปุลโก และอีก 2 รายในฮัวตัลโก สองเมืองฝั่งทะเลแปซิฟิก
การท่องเที่ยวของเม็กซิโก อุตสาหกรรมแหล่งรายได้อันดับ 3 ของประเทศ กำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการเรียกคืนนักท่องเที่ยวหลังการแพร่ระบาดของไวรัสซึ่งสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจโรงแรมอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ผลกระทบจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ถูกคาดหมายว่าได้สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจของเม็กซิโก 2,300 ล้านดอลลาร์–ราว 0.3 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ — ขณะที่ทางการต้องใช้งบประมาณราว 1,000 ล้านดอลลาร์ สนับสนุนแผนธุรกิจต่างๆ เพื่อบรรเทาความเสียหาย
องค์การอนามัยโลก ยืนยันตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลกว่ามีทั้งสิ้น 5,728 ราย ใน 33 ประเทศ โดยเกือบครึ่งรวมถึงผู้เสียชีวิต 3 รายอยู่ในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ เบลเยียม เมื่อวันพุธ(13)ยืนยันว่าเป็นประเทศล่าสุดที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสเอช 1 เอ็น 1 จากคำแถลงของกระทรวงสาธารณสุข
ในแถลงการณ์สั้นๆ กระทรวงสาธารณสุขเบลเยียมไม่ได้ให้รายละเอียดของผู้ติดเชื้อ และไม่เปิดเผยว่าบุคคลดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ได้ไปเยือนเม็กซิโกหรือไม่
นับตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีกรณีต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่2009 หลายราย ทว่าจากผลตรวจไม่พบว่ามีการติดเชื้อแต่อย่างใด
ทางการเบลเยียมยืนยันว่าพวกเขามีความพร้อมสำหรับรับมือกับโรคระบาดนี้ “เรารู้ว่าเราต้องทำอะไร” รัฐมนตรีสาธารณสุขเบลเยียมกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อ่านต่อที่ : เบลเยียมพบผู้ติดเชื้อH1N1รายแรก-เม็กซิโกปรับเพิ่มยอดตายเป็น60
ซัมซุงดับเบิลยูบี 500 กล้องคอมแพกต์ ที่อย่าเผลอมองข้าม พฤษภาคม 14, 2009
Posted by 1000thainews in บันเทิง.Tags: กลับมา, กล้องคอม, การทำนา, การเกษตร, ความพยายาม, ซัมซุง, ตุ๊กกี้, ธรรมชาติ, ฤดูฝน, อย่า, เทคโนโลยี, เผลอ
add a comment
ซัมซุงดับเบิลยูบี 500 กล้องคอมแพกต์ ที่อย่าเผลอมองข้าม
สายฝนที่เทกระหน่ำมาในช่วงนี้ บ่งบอกว่าเข้าสู่ฤดูฝน เป็นฤดูเริ่มต้นของเกษตรกรรมหลักอย่างการทำนา ที่แม้ว่าในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีทางการเกษตร ระบบกักเก็บน้ำที่ทันสมัยจากความพยายามของมนุษย์ที่จะควบคุมธรรมชาติ ทำให้การทำนาทำได้ตลอดทั้งปีก็ตาม แต่อย่างไรเสียธรรมชาติก็ยังทำหน้าที่แบ่งแยกบอกฤดูกาล เป็นเช่นนี้มานานกาล ใครที่บอกว่า ฝนเทียม…ฝนเทียม ตุ๊กกี้รับไม่ได้ๆๆๆ บิดฟ้าเบือนดินเช่นนี้ สักวันฟ้าพิโรธขึ้นมา …ก็ไม่รู้ด้วย
พูดถึงธรรมชาติ g@dget วันนี้ก็เลยมีรูปธรรมชาติมาฝาก (เริ่มดึงเข้าเรื่อง หลังออกทะเลไปหลายประโยค หุหุ) พอดีว่าได้รับกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ส่งมาถึงมือค่ะ เป็นกล้องซัมซุง รุ่น ดับเบิลยูบี 500 (Samsung WB500) ตอนแรกที่มีเสียงใสบอกว่ามีกล้องซัมซุงรุ่นใหม่มาให้เทสต์ ตุ๊กกี้ถามดักคอว่า รุ่นตัวบางใช่มั้ย เสียงใสตอบทันทีว่า “ไม่ค่ะพี่ตุ๊กกี้ อยากให้ลองคอมแพกต์แบบรุ่นบึกๆ ดูบ้าง” พอได้เห็นของจริง อืมม ดูบึกดีจริงๆ ด้วยแฮะ
เรื่องความบึกนี้ตุ๊กกี้ได้รับคำยืนยันจากน้องชายโยเลยว่า “อืมม พี่ มันต้องอย่างนี้ ถนัดมือ” ในขณะเดียวกันเมื่อให้น้องผู้หญิงดู กลับมีเสียงตอบรับว่า “อุ๊ย กล้องอะไรคะพี่ตุ๊กกี้ กล้องรุ่นเก่าเหรอคะ ทำไมถึงได้เทอะทะขนาดนี้” เมื่อสองฝั่งชายหญิงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ก็คงไม่ต้องใช้ความรู้สึกของตุ๊กกี้ (ผู้หญิงตัวเล็กๆ) มาวัดแล้วล่ะ ว่าเจ้ากล้องซัมซุงดับเบิลยูบี 500 ตั้งใจเจาะกลุ่มผู้ใช้เพศชายได้สมความตั้งใจจริงๆ แต่ก็อาจจะมีข้อยกเว้นสำหรับเพศหญิงที่ใช้กล้องดิจิตอล ดี-เอสแอลอาร์ ตัวใหญ่เปลี่ยนถอดเลนส์ได้ ก็อาจจะชอบค่ะ เพราะว่าเป็นกล้องคอมแพกต์ที่ให้ความรู้สึกถนัดมือดีมาก ทั้งเรื่องน้ำหนักและรูปลักษณ์การออกแบบ ที่ส่งเสริมการวางมือ และใช้งานปุ่มกดต่างๆ
![]() |
ท่ามกลางหมอกหนา |
ส่วนเรื่องของคุณสมบัติ ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่ามองข้ามเลย จากความโดดเด่นของกล้องดิจิตอลที่ให้ความไวด์เลนส์ที่ 24 มิลลิเมตร ออปติคอลซูม 10 เท่า ส่วนดิจิตอลซูมไม่ได้สนใจว่าจะเท่าไหร่ เพราะตัวเลขเยอะไปก็ไม่ได้ทำให้ภาพดีขึ้น กล้องคอมแพกต์นี่ดูที่ตัวเลขออปติคอลซูมไว้ก่อน ลงไปในรายละเอียดเลนส์กล้องตัวนี้ คือ เป็นเลนส์ชไนเดอร์ f/4.2-42 มิลลิเมตร (เทียบเท่า 24-240 ในกล้องเลนส์ 35 มิลลิเมตร)
เมื่อเห็นความไวด์ของเลนส์ว่าอยู่ที่ 24 มิลลิเมตร เปิดกล้องมาปุ๊บ ยังไม่ดูรายละเอียดอะไรขอลองความกว้างที่ให้มานี่ก่อนเลย ยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างออฟฟิศ (ซึ่งนี่เป็นข้อดีหนึ่งของกล้องแบบคอมแพกต์ คือ ถ้าพื้นที่ถูกจำกัดการยกเล็ง แค่หน้าต่างแคบๆ กล้องตัวเล็กทำหน้าที่ได้สบายมาก) เก็บภาพบรรยากาศเมฆฝนที่กำลังครึ้มใกล้ตกหนัก ได้ฉากหน้าเป็นอาคารสูงที่ดูเล็กลงไปถนัดตา เพราะก้อนเมฆใหญ่ที่ทะมึนครอบคลุมเหนือท้องฟ้าอยู่ เก็บแสงและก้อนเมฆดำได้ดีเหมือนกัน …ชักเริ่มสนุก
ตุ๊กกี้ยังได้ไปลองกล้องนอกพื้นที่ด้วย บนที่สูงของประเทศ ห้วยน้ำดัง จ.เชียงใหม่ ลองซูมต้นหางนกยูงที่กำลังออกดอกแดงอยู่ไกลลิบๆ ออปติคอลซูม 10 เท่า ทำหน้าที่ของมันได้อย่างน่าพอใจ แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ อดไม่ได้ที่จะลองดิจิตอลซูมสุดๆ ซึ่งก็เป็นอย่างที่ระบบมันต้องเป็น ดิจิตอลซูมเป็นเพียงการขยายภาพด้วยระบบภายในกล้องเท่านั้นไม่ใช่ภาพที่เกิดมาจากเลนส์ ภาพที่ได้ก็ย่อมแตกเป็นธรรมดา แค่พอให้มองออกคร่าวๆ เท่านั้นว่าสิ่งที่ถ่ายมานั้น เป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือต้นไม้
![]() |
ไวด์สุดที่24 |
การขึ้นไปที่ห้วยน้ำดังของตุ๊กกี้ แม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าร้อน (เมื่อปลายเดือนเม.ย.) แต่ถือเป็นช่วงต่อหน้าฝน อากาศกำลังปรวนแปรดีนัก เลยเจอฝนตกทำให้เกิดหมอกหนาขึ้นมาฉับพลัน เลนส์ชไนเดอร์ก็ยังทำหน้าที่ถ่ายทอดสภาพ ณ ขณะนั้นออกมาได้เหมือนตาเห็น ดูเป็นความทึบทึมของหมอกขาวที่ปิดบังรายละเอียดต้นสนใบเขียว เพียงแค่ให้เห็นเป็นรูปทรงเท่านั้น ถือเป็นความคล่องตัวไม่ต้องกังวลกับเรื่องการวัดแสงมากนัก เพราะการถ่ายในสภาพหมอกลง หากใช้กล้องดิจิตอล ดี-เอสแอลอาร์ จะเป็นตัวทดสอบความแม่นในการวัดแสงกรณีหนึ่งที่ยากทีเดียว (ซึ่งตุ๊กกี้ไม่มี หุหุ) เลยสนุกกับการใช้กล้องคอมแพกต์เก็บบรรยากาศไปเรื่อย
แล้วยิ่งในสภาพจำกัดของพื้นที่ที่ตุ๊กกี้ได้ไปพบมา คือ นั่งอยู่บนรถบรรทุกของทหาร ที่แคบๆ ทางขรุขระ รถกระเด้งกระดอนตลอดเวลา หมดสิทธิคิดเรื่องยกกล้องตัวใหญ่ขึ้นมาเล็ง เพราะดีไม่ดีอาจกระแทกเสียหายด้วย ก็ใช้กล้องคอมแพกต์นั่นล่ะคอยเก็บภาพที่ผ่านไปข้างทาง ก็ขนาดระบบกันสั่นในกล้องคอมแพกต์ยังเอาไม่อยู่ ก็ไม่ต้องไปพูดถึงการใช้กล้องตัวใหญ่ๆ ล่ะ วินาทีนั้น นี่ตุ๊กกี้ว่าด้วยเรื่องการใช้งานในสภาพจำกัดนะคะ ไม่ได้บอกว่ากล้องแบบไหนดีกว่ากัน เพราะตุ๊กกี้นั้นใช้กล้องทั้งสองแบบ ตัวเล็กตัวใหญ่มีติดตัวหมด เพราะจุดประสงค์เดียว เก็บสิ่งที่เราพบเห็นมาเป็นไฟล์เพื่อการทรงจำและการใช้งาน ให้ได้มากที่สุด
![]() |
ลองมาโคร |
นอกจากนี้ กล้องดิจิตอลซัมซุง ดับเบิลยูบี 500 ยังสามารถถ่ายภาพวิดีโอด้วยคุณภาพระดับไฮเดฟฟินิชัน (HD) ความละเอียด 720 พิกเซล ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที (fps) อันเป็นผลมาจากประสิทธิภาพของระบบบีบอัดไฟล์ H.264 ที่ให้สามารถบันทึกภาพวิดีโอได้นานเท่าที่ความจุบนเมมโมรีการ์ดสามารถรองรับได้ พร้อมโหมด Samsungs Successive Recording ที่ให้สามารถหยุดการถ่ายภาพเคลื่อนไหวแล้วกลับมาถ่ายภาพต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องเซฟคลิปวิดีโอเป็นไฟล์เอาไว้ในเครื่อง พร้อมโปรแกรมจัดการไฟล์ภาพ Smart Album Program ระบบจัดเก็บไฟล์ที่สามารถค้นหาภาพที่เซฟไว้ในเมมโมรีการ์ดได้ง่ายและสะดวกสบาย
ความสามารถหลายๆ อย่างนี้ แลกมาด้วยราคา 11,990 บาท ราคานี้คุ้มค่าเมื่อได้ลองของจริง มี 2 สี ให้เลือก เทาและดำ แล้วพบกันใหม่ค่ะ
ข้อมูลผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอลซัมซุง ดับเบิลยูบี 500
![]() |
ซูมสุด(ดิจิตอล) |
ความละเอียด 10.2 ล้านพิกเซล
ซูมระบบออปติคอล 10 เท่า/เลนส์มุมกว้างจาก Schneider-KREUZNACH
จอภาพแอลซีดี จอภาพทีเอฟที แอลซีดี ขนาด 2.7 นิ้ว (230,000 พิกเซล)
ขนาดตัวกล้อง ความกว้าง 105 มิลลิเมตร ความสูง 61.4 มิลลิเมตร ความหนา 36.5 มิลลิเมตร
คุณสมบัติพิเศษ – เลนส์ Schneider-KREUZNACH มุมกว้างพิเศษ 24 มิลลิเมตร – ออปติคอลซูม 10 เท่า – ถ่ายภาพวิดีโอระดับไฮเดฟฟินิชันความละเอียด 720 พิกเซล – ระบบป้องกันภาพสั่นไหว Dual Image Stabilization (ออปติคอล + ดิจิตอล) – ระบบโฟกัสใบหน้าอัตโนมัติ (Face Detection)/โหมดตรวจจับรอยยิ้มอัตโนมัติ (Smile Shot) /โหมดป้องกันการกะพริบตาอัตโนมัติ (Blink Detection)/โหมดการถ่ายภาพ Self Portrait พร้อมโหมด Beauty Shot รีทัชภาพให้หน้าเนียนได้ทันที และโหมดแก้ไขตาแดง (Red-eye Fix)
อ่านต่อที่ : ซัมซุงดับเบิลยูบี 500 กล้องคอมแพกต์ ที่อย่าเผลอมองข้าม
ร้องไห้เถิด…แผ่นดินที่รัก พฤษภาคม 13, 2009
Posted by 1000thainews in อื่นๆ.Tags: การจัดประชุม, การเมือง, ความขัดแย้ง, ความขัดแย้งทางการเมือง, ความพยายาม, ที่รัก, ประชุมสุดยอดอาเซียน, ประเทศไทย, สัญลักษณ์, อาเซียน, เฮลิคอปเตอร์, แผ่นดิน
add a comment
เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าสาเหตุที่จำเป็นต้องประกาศยกเลิกการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาลง ทั้งๆ ที่ยังมิได้เริ่มต้นการเจรจาใดๆ เลยนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศไทย ที่อาศัยความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการประท้วง
ความเจ็บปวดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นั้น มิใช่เป็นเพียงแค่ความล้มเหลวของความพยายามในการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะความรุนแรงของการประท้วงที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของบรรดาประมุขและผู้นำซึ่งเป็นแขกของประเทศไทยในการประชุมดังกล่าวต่างหาก ที่ทำให้คนไทยกว่า 66.7 ล้านคนไม่กล้าสู้หน้าประชาคมโลกได้อีกต่อไป เพราะเรา \”คนไทย\” … ในฐานะเจ้าภาพและเจ้าของบ้าน ที่ได้ออกปากเชื้อเชิญบุคคลสำคัญระดับโลกเหล่านั้นให้มาเยือน แต่กลับไม่สามารถสร้างความมั่นใจ ความอบอุ่นใจ และความปลอดภัยให้กับแขกบ้านแขกเมืองเหล่านั้นมาพำนักอยู่ใน \”บ้านของเรา\” ได้อย่างมีความสุข
ในสายตาของคนต่างชาติ ภาพลักษณ์ของคนไทยที่บรรพบุรุษของเราได้อุตส่าห์สร้างสมมาในอดีต ที่มีแต่ความสุภาพ นุ่มนวล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และรักสงบ ได้หายวับไปกับตาของบรรดาประมุขและผู้นำเหล่านั้น เพราะภาพของความรุนแรงที่บรรดาประมุขและผู้นำในการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาร่วมกันเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ มันมิได้บ่งชี้เพียงเฉพาะกลุ่มชนที่ใช้ความรุนแรงเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของคนไทยทั้ง 66.7 ล้านคนอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
และที่สำคัญ คือ ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ยังไปช่วยตอกย้ำถึงปรากฏการณ์ของการใช้ความรุนแรงในสังคมไทยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดในรอบ 2 ปี ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่การใช้ความรุนแรงเหล่านั้นมิได้สะท้อนความคิดเห็นและทัศนคติของคนไทยส่วนใหญ่ทั้งประเทศเลย จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ภาพพจน์ของคนไทยที่เคยเป็นชนชาติที่รักความสงบสันติสุข และเคยเป็นที่ยกย่องของคนทั่วโลกถึงความมีมิตรไมตรีของคนไทยนั้น …หายไปไหน
คำถามนี้ คงมิใช่จะจำกัดเฉพาะคนกลุ่มใดหรือสีเสื้อใดเป็นการเฉพาะ แต่เป็นคำถามที่คนไทยทั้ง 66.7 ล้านคนต้องหันมาถามตัวเอง ว่า \”เราจะปล่อยให้สถานการณ์ของความรุนแรงเหล่านี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยไปอีกนานเพียงใด และเราจะยอมทนดูชาติ บ้านเมืองและสถาบันของเรา พังพินาศไปกับการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้หรือ\”
เพราะคนไทยทั้ง 66.7 ล้านคน ต่างรับรู้ถึงปัญหาและผลที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของคนส่วนน้อยมาโดยตลอด แต่เพราะธรรมชาติของความรักสงบ ทำให้คนไทยพร้อมที่จะอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมเสียสละความสุขส่วนตัว เพราะเห็นแก่ความสงบของประเทศชาติโดยรวมเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม หากการสงบนิ่งคนไทยทั้ง 66.7 ล้านคน จะถูกคนส่วนน้อยตีความว่าเป็นเพียงความไม่รู้และความไม่สนใจที่พร้อมจะถูกเอารัดเอาเปรียบมากขึ้นละก็ ถึงเวลานั้นคนไทยส่วนใหญ่ที่รักสงบและสันติก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาทวงสิทธิและถามถึงความเป็นธรรมของสังคม เพราะพวกเราต่างตระหนักดีว่าหากปล่อยให้มีการใช้ความรุนแรงในสังคมไทยต่อไป เมื่อถึงจุดหนึ่ง การวางเฉยโดยไม่ทำอะไรเลยของคนไทยทั้ง 66.7 ล้านคน ก็อาจจะนำไปสู่ความล่มจมของชาติได้
ความจริงแล้วประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครอง ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยมาก เพราะความเป็น \”ไท\” ทำให้เราเป็นคนใจกว้าง พร้อมที่จะอยู่ร่วมกับคนที่มีความคิดเห็น มีความเชื่อ และมีวัฒนธรรมที่แตกต่างได้อย่างสงบสุข ส่งผลให้คนไทยที่แม้จะแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเหนือ กลาง ใต้ ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ทัศนคติและธรรมชาติของคนไทยโดยรวม จึงสอดรับกับการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่มีความเปิดกว้างทางความคิด มีความอดทนอดกลั้นต่อความเห็นที่แตกต่าง และใช้ปัญญาในการแสวงหาจุดร่วมในความแตกต่างอย่างมีสติ
จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ระบบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในปัจจุบัน หันมาอาศัยความรุนแรงเป็นเครื่องมือตัดสินว่าความคิดและประโยชน์เฉพาะกลุ่มเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าของคนอื่น เห็นว่าความคิดและประโยชน์ของกลุ่มอื่นที่แตกต่างจากตนกลายเป็นสิ่งเลวร้ายที่ต้องถูกทำลาย ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเขา หรือกลุ่มเรา ความจริงต่างก็เป็นคนไทยและเป็นเจ้าของประเทศเท่าเทียมกัน และทำให้ลืมไปว่าสุดท้ายของการใช้ความรุนแรง สิ่งที่จะถูกทำลาย คือ ชาติและบ้านเมืองของเรา
จึงถึงเวลาแล้วที่พลังเงียบของคนไทยอีก 66.7 ล้านคน ที่มิได้เห็นชอบกับการใช้ความรุนแรงเลย แต่ต้องมารับผลกรรมจากการกระทำของคนกลุ่มน้อย จะต้องออกมาทวงถามหาความเป็นธรรมในสังคม ว่า เมื่อไรจะหยุดการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิด จนกลายเป็นการทำลายชาติและบ้านเมืองในที่สุด
ถึงเวลาแล้วที่เราจะไม่ยอมปล่อยให้แผ่นดินไทยต้องร้องไห้อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะคนไทยทั้งแผ่นดินจะออกมาเรียกร้องให้ยุติการใช้กำลังในการแก้ปัญหา และผลักดันให้เกิดความสมานฉันท์อย่างจริงจัง
ถึงเวลาแล้ว ที่พลังเงียบทั้งแผ่นดินจะต้องส่งเสียงให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงความคับข้องใจของคนกลุ่มใหญ่ในประเทศ ที่พร้อมจะออกมาเพรียกร้องหาความสันติสุขให้กับแผ่นดินไทยโดยรวม
อ่านต่อที่ : ร้องไห้เถิด…แผ่นดินที่รัก