jump to navigation

อาร์เจนตินาเปิดเที่ยวบินตรงเม็กซิโกอีกรอบ พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in ข่าวด่วน.
Tags: , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

อาร์เจนตินาเปิดเที่ยวบินตรงเม็กซิโกอีกรอบ

อาร์เจนตินาเปิดเที่ยวบินตรงเม็กซิโกอีกรอบ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
15 พฤษภาคม 2552 09:38 น.

       นายเซอร์จิโอ มาร์ซา หัวหน้าคณะรัฐมนตรีของอาร์เจนตินา แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิเศษด้านเชื้อไวรัสเอช 1 เอ็น 1 ว่า รัฐบาลตัดสินใจจะเริ่มเปิดให้บริการเที่ยวบินไปเม็กซิโกอีกครั้ง ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันพฤหัสบดีนี้ ตามเวลาท้องถิ่น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเม็กซิโก เริ่มคลี่คลายลง หลังจากที่อาร์เจนตินาระงับเที่ยวบินตรงเส้นทางเม็กซิโกมาตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน

อ่านต่อที่ : อาร์เจนตินาเปิดเที่ยวบินตรงเม็กซิโกอีกรอบ

คลังออกกฎกระทรวงประกาศราคาขายบุหรี่ พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in ทั่วไป.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

คลังออกกฎกระทรวงประกาศราคาขายบุหรี่

วันนี้(14 พ.ค.) นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า หลังจากพ.ร.ก.ขยายเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันจากลิตรละ 5 บาทเป็น 10 บาท และขยายเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่จาก 80% เป็น 90% ของมูลค่าหน้าโรงงาน หรือมูลค่านำเข้ามีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงฯ เพื่อให้มีผลบังคับเกี่ยวกับอัตราการจัดเก็บภาษีให้มีผลในวันเดียวกันทันทีเช่นกัน เพื่อให้การจัดเก็บภาษีบุหรี่และน้ำมันเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ และป้องกันราคาผันผวนจากการกักตุนและเก็งกำไร

นายพฤฒิชัย กล่าวต่อว่า โดยการจัดเก็บภาษีน้ำมัน จะเพิ่มขึ้นลิตรละ 2 บาท แต่รัฐบาลจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ 20,000 ล้านบาทเข้ามาช่วยลดภาระของประชาชนในช่วงแรก จึงเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อราขายปลีกมากนัก ส่วนภาษีสรรพสามิตยาสูบนั้น จะจัดเก็บในอัตรา 85% ซึ่งจะทำให้บุหรี่ในประเทศปรับขึ้นซองละ 10-13 บาท บุหรี่ต่างประเทศปรับขึ้นซองละ 15-17 บาทต่อ และจะมีผลทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 70,000-80,000 ล้านบาท โดยในส่วนของบุหรี่นั้น เป็นการกำหนดเพดานราคาปลีกเท่านั้น แต่ราคาจะปรับขึ้นเท่าใด ขึ้นกับผู้ผลิตเป็นผู้ประกาศ.
อ่านต่อที่ : คลังออกกฎกระทรวงประกาศราคาขายบุหรี่

ขึ้นภาษีน้ำมัน-บุหรี่มีผลวันนี้ พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in ข่าวด่วน.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

ขึ้นภาษีน้ำมัน-บุหรี่มีผลวันนี้

นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ได้ออกประกาศกระทรวง ตาม พ.ร.ก.การขยายเพดานจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันแล้ว และมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนที่ผ่านมา โดยเป็นการขยายเพดานอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จาก5 บาท/ลิตร เป็น 10 บาท/ลิตร แต่ช่วงแรกจะปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่มอีก 2 บาท/ลิตร แต่รัฐบาลจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาช่วยลดภาระภาษีของประชาชน
         

นอกจากนี้ พ.ร.ก.ขยายเพดานภาษีสรรพสามิตยาสูบ ได้ปรับเพิ่มเพดานขึ้นจาก 80% เป็น 90% ของมูลค่าหน้าโรงงานหรือมูลค่านำเข้า โดยระยะแรกจะปรับจัดเก็บภาษี 85% ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายปลีกบุหรี่ในประเทศ เพิ่มขึ้น 10-13 บาท/ซอง และบุหรี่ต่างประเทศ ราคาเพิ่มขึ้น 15-17 บาท/ซอง

ด้านนายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จะมีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันทุกประเภท อีกลิตรละ 2 บาท ยกเว้นไบโอดีเซล และเอททานอล แต่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน จะใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มาช่วยเหลือประชาชน โดยจะลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ในอัตราที่สมดุลกับการขึ้นภาษี ซึ่งจะส่งผลไม่ให้มีการขึ้นราคาน้ำมันทั่วประเทศ ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นในวันนี้ เป็นไปตามราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ใช่ภาษี
         

อย่างไรก็ตาม เงินกองทุนน้ำมัน ขณะนี้มีทั้งหมด 25,000 ล้านบาท แต่เมื่อหักหนี้ค้างชำระแล้วเหลือ 15,000 ล้านบาท เงินจำนวนนี้จะใช้ชดเชยการปรับขึ้นภาษี ได้ประมาณ 1 เดือน หลังจากนี้ราคาน้ำมันจะทยอยปรับขึ้นตามกลไกตลาด อีก 2-3 ครั้ง ครั้งละ 60-70 สตางค์ต่อลิตร ยอมรับว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกยังผันผวนอยู่

อ่านต่อที่ : ขึ้นภาษีน้ำมัน-บุหรี่มีผลวันนี้

พรก.ขึ้นภาษีน้ำมัน-ยาสูบมีผลบังคับใช้แล้ว พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in ทั่วไป.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

พรก.ขึ้นภาษีน้ำมัน-ยาสูบมีผลบังคับใช้แล้ว

นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า พระราชกำหนดการขยายเพดานจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่เที่ยงคืนวันนี้ (14 พ.ค.) โดยเพิ่มจาก 5 บาทต่อลิตรเป็น 10 บาทต่อลิตร ซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงเพื่อให้มีผลบังคับใช้เกี่ยวกับอัตราการจัดเก็บภาษีน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 2 บาทต่อลิตร แต่รัฐบาลจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาช่วยลดภาระของประชาชนในช่วงแรก

สำหรับพระราชกำหนดขยายเพดานภาษีสรรพสามิตยาสูบได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 80% เป็น 90% ของมูลค่าหน้าโรงงานหรือมูลค่านำเข้า แต่จะจัดเก็บในอัตรา 85% ซึ่งจะทำให้บุหรี่ในประเทศปรับขึ้นประมาณ 10-13 บาทต่อซอง บุหรี่ต่างประเทศปรับขึ้นประมาณ 15-17 บาทต่อซอง โดยการจัดเก็บภาษีทั้งสุรา ยาสูบและน้ำมันเพิ่มขึ้น จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มประมาณ 70,000-80,000 ล้านบาทต่อปี

ด้านนพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตตั้งแต่วันนี้ 2 บาทต่อลิตร หลังจากที่ พ.ร.ก.การขยายเพดานภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จาก 5 เป็น 10 บาท มีผลบังคับใช้ ดังนั้น วันนี้กระทรวงพลังงานจึงประกาศลดการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันมีผลวันนี้เช่นกัน โดยปรับสัดส่วนตามเนื้อน้ำมัน เช่นกรณีน้ำมันเบนซิน 91 และ 95 ที่เก็บภาษีเพิ่มขึ้น 2 บาทต่อลิตร เงินกองทุนน้ำมันจะลดลง 2.20 บาทต่อลิตร เป็นต้น ส่วนการขึ้นราคาน้ำมัน 60 สตางค์ต่อลิตรในเช้าวันนี้ ถือว่าเป็นไปตามราคาตลาดโลกเท่านั้น ไม่ใช่ผลของการปรับภาษี

กระทรวงพลังงานจะดำเนินการใช้เงินกองทุนเข้ามาลดภาระประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านภาษีเพียง 1 เดือนเท่านั้น จากนั้นจะทยอยปรับขึ้นเงินกองทุนน้ำมัน และคาดว่าจะทยอยปรับประมาณ 2-3 ครั้ง ใน 1 เดือน โดยอาจจะทยอยขึ้นครั้งละ 60-70 สตางค์ต่อลิตร ในช่วงราคาน้ำมันเป็นขาลง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สุดท้ายกระทรวงพลังงานคงต้องปรับขึ้นเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพราะหากชดเชยต่อไปเรื่อย ๆ อาจทำให้ประชาชนใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัด และจะมีผลต่อการนำเข้าน้ำมันของไทย นอกจากนี้ เงินกองทุนน้ำมันและภาษีก็เป็นเงินของรัฐ หากบริหารจัดการไม่ดีจนเงินกองทุนติดลบก็คงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

ในช่วงนี้ยอมรับว่าราคาน้ำมันเป็นช่วงขาขึ้น และหากราคาน้ำมันยังสูงขึ้นต่อไปก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะต้องยืดเวลาการบริหารจัดการนานกว่า 1 เดือนหรือไม่ และหากราคาน้ำมันยังสูงต่อไปอีกก็ต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะต้องลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันในอนาคตหรือไม่ แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผนขยับเพดานการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งมีอัตราสูงสุดที่ 7 บาทแต่อย่างใด

ปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันมีเงินสด 2.5 หมื่นล้านบาท แต่ก็มีภาระหนี้ที่ต้องชดเชย เช่น การนำเข้าก๊าซหุงต้ม ชดเชยพลังงานทดแทน รวม 10,000 ล้านบาท จึงเหลือเงินสด 1.5 หมื่นล้านบาท โดยการชดเชยการขึ้นภาษีน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร คาดว่าจะต้องใช้เงิน 5,400 ล้านบาท และเมื่อหักจากวงเงินนำเข้าที่คาดว่าจะมี 3,600 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้รายได้เงินกองทุนลดลง 1,700-1,800 ล้านบาทต่อเดือน

 

อ่านต่อที่ : พรก.ขึ้นภาษีน้ำมัน-ยาสูบมีผลบังคับใช้แล้ว

คลังออกประกาศเพิ่มภาษีน้ำมันและบุหรี่มีผลแล้ววันนี้ พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

คลังออกประกาศเพิ่มภาษีน้ำมันและบุหรี่มีผลแล้ววันนี้

คลังออกประกาศเพิ่มภาษีน้ำมันและบุหรี่มีผลแล้ววันนี้

กรุงเทพฯ 14 พ.ค.-นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า พระราชกำหนดการขยายเพดานจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่เที่ยงคืนวันนี้ (14 พ.ค.) โดยเพิ่มจาก 5 บาทต่อลิตรเป็น 10 บาทต่อลิตร ซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงเพื่อให้มีผลบังคับใช้เกี่ยวกับอัตราการจัดเก็บภาษีน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 2 บาทต่อลิตร แต่รัฐบาลจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาช่วยลดภาระของประชาชนในช่วงแรก สำหรับพระราชกำหนดขยายเพดานภาษีสรรพสามิตยาสูบได้ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 80 เป็นร้อยละ 90 ของมูลค่าหน้าโรงงานหรือมูลค่านำเข้า แต่จะจัดเก็บในอัตราร้อยละ 85 ซึ่งจะทำให้บุหรี่ในประเทศปรับขึ้นประมาณ 10-13 บาทต่อซอง บุหรี่ต่างประเทศปรับขึ้นประมาณ 15-17 บาทต่อซอง โดยการจัดเก็บภาษีทั้งสุรา ยาสูบและน้ำมันเพิ่มขึ้น จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มประมาณ 70,000-80,000 ล้านบาทต่อปี. -สำนักข่าวไทย

อ่านต่อที่ : คลังออกประกาศเพิ่มภาษีน้ำมันและบุหรี่มีผลแล้ววันนี้

ขึ้นแล้วภาษีบุหรี่ ของนอก12บาท พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in อื่นๆ.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

ขึ้นแล้วภาษีบุหรี่ ของนอก12บาท

นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์

นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ขยายเพดานภาษีน้ำมันนั้น ได้ขยายเพดานจัดเก็บไปถึง 10 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 บาทต่อลิตร แต่จะทยอยจัดเก็บเพิ่มขึ้นอีก 1-2 บาทต่อลิตร ในช่วงเดือนแรก และจะทยอยเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐประมาณปีละ 5-5.5 หมื่นล้านบาท

กรณีการขึ้นเพดานภาษีน้ำมันนั้น กองทุนน้ำมันฯ จะเข้ามาแบกรับภาระแทนประชาชน ทำให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มจะยังไม่มีการปรับขึ้นทันที

สำหรับภาษีสรรพสามิตบุหรี่นั้น จะขยายเพดานการจัดเก็บตามมูลค่าจากระดับ 80% เป็น 90% แต่จะเริ่มจัดเก็บภาษีใหม่ในระยะต้นแค่ 85%

แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ผลของการประกาศกฎกระทรวงจะทำให้ราคาบุหรี่เพิ่มประมาณ 5-12 บาทต่อซอง บุหรี่ไทย เช่น สายฝน กรองทิพย์ กรุงทอง ปรับราคาขายปลีกเพิ่มซองละ 5-6 บาท

สำหรับบุหรี่ยี่ห้อต่างประเทศ เช่น แอลเอ็ม มาร์ลโบโร จะปรับเพิ่มซองละ 10-12 บาท คาดจะสร้างรายได้เพิ่มเติมแก่รัฐปีละ 2 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ในวันจันทร์ที่ 18 พ.ค.นี้ รัฐบาลจะเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาเห็นชอบร่างพระราชกำหนดเงินกู้ 4 แสนล้านบาท

อ่านต่อที่ : ขึ้นแล้วภาษีบุหรี่ ของนอก12บาท

ขึ้นภาษีสรรพสามิตทำเหล้า-เบียร์ขาดตลาด พฤษภาคม 13, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

ขึ้นภาษีสรรพสามิตทำเหล้า-เบียร์ขาดตลาด

ขึ้นภาษีสรรพสามิตทำเหล้า-เบียร์ขาดตลาด กรุงเทพฯ 7 พ.ค.- ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติปรับขึ้นภาษีสุราและเบียร์เต็มเพดาน มีผลตั้งแต่หลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา บรรยากาศที่ร้านขายส่งรายย่อย พบว่า หลายแห่งเจอกับสภาพปัญหาสุราและเบียร์ รวมทั้งบุหรี่ขาดตลาด

ทั้งนี้ สาเหตุที่สุราและเบียร์รวมทั้งบุหรี่ขาดตลาด เนื่องจากผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่สุราและเบียร์ หยุดการส่งของ  และแจ้งให้ผู้ค้าส่งค้าปลีกทราบว่า   จะมีการแจ้งราคาขายส่งและปลีกใหม่  ให้ทราบในช่วงบ่ายวันนี้ (7 พ.ค.)  หลังจากนั้นจะส่งสินค้าราคาใหม่ให้ผู้ค้าส่งรายย่อย

นายพรชัย  วิจิตรวงศ์ทอง  เจ้าของร้านขายส่งสุรารายย่อย ตลาดอยู่เจริญ  กล่าวว่า  วานนี้ ( 6 พ.ค.) ทางร้านได้ขายส่งสุราและเบียร์ไปในราคาเดิมจนหมด  แต่ผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่ไม่มาส่งสินค้าให้  ทำให้วันนี้ ร้านค้าไม่มีสุราและเบียร์ขายส่งรวมทั้งขายปลีก  ส่วนการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสุราและเบียร์เต็มเพดานครั้งนี้ จะทำให้ราคาขายปลีกสูงขึ้นขวดละ 4-5 บาท ทำให้คาดว่า ปริมาณการบริโภคหลังจากนี้จะลดลงอย่างน้อยเป็นเวลา 2-3 เดือน

นายวันชัย  ฉัตรรัติชัย  ผู้ขายส่งสุราย่านห้วยขวาง ระบุว่า ขณะนี้ได้รับการติดต่อจากผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่ ว่าจะแจ้งราคาขายปลีกให้ทราบในช่วงเย็นวันนี้ และยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีอยู่แล้ว บวกกับการขึ้นภาษีสรรพสามิต ก็จะทำให้การขายสินค้าสุราและเบียร์ซบเซาแน่นอน

ส่วนการจำหน่ายบุหรี่นั้น  ผู้ค้าส่งแจ้งให้ผู้ขายปลีกทราบเช่นกันว่า  จะยังไม่ส่งสินค้าให้ในขณะนี้ เพราะมีการคาดหมายว่า รัฐบาลจะประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ตามมาภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า. -สำนักข่าวไทย

อ่านต่อที่ : ขึ้นภาษีสรรพสามิตทำเหล้า-เบียร์ขาดตลาด

“มาร์ค”แจงถึงบฯ53ลดลงก็ไม่รีดภาษี เหตุไม่เชื่อกระตุ้นศก.ขรก.เศร้าปีหน้าไม่มีโบนัส ได้เงินรางวัลแทน พฤษภาคม 13, 2009

Posted by 1000thainews in ทั่วไป.
Tags: , , , , , , ,
add a comment

“มาร์ค”แจงถึงบฯ53ลดลงก็ไม่รีดภาษี เหตุไม่เชื่อกระตุ้นศก.ขรก.เศร้าปีหน้าไม่มีโบนัส ได้เงินรางวัลแทน

"มาร์ค"แจงถึงบฯ53ลดลงก็ไม่รีดภาษี เหตุไม่เชื่อกระตุ้นศก.ขรก.เศร้าปีหน้าไม่มีโบนัส ได้เงินรางวัลแทน

"กอร์ปศักดิ์"เผยปี′53ไม่มีโบนัสขรก. ให้เงินรางวัลแทน ครม.เคาะงบปี53 เป็น1.7ล้านล้าน พร้อมทุ่ม1.55ล้านล.กระตุ้นศก.ระลอก2 เล็งขึ้นภาษีแอลกอฮอล์7-9%ตั้งแต่เที่ยงคืน6พ.ค. น้ำมัน-ยาสูบส่อถูกปรับด้วย "มาร์ค" เผยไม่รีดภาษีชื่อไม่กระตุ้นศก.

นายกฯแจงงบปี53ลดลงจะไม่รีดไถภาษีชื่อไม่กระตุ้นศก.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม มีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณากระทู้ถามสดเรื่อง การปรับปรุงวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 ของนายเรวัต สิรินุกุล ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ถามต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

นายเรวัต กล่าวว่า ครม.มีมติตั้งงบประมาณปี 2553 จำนวน  1.7 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2552 เป็นเงิน 2.5 แสนล้านบาท รัฐบาลนี้แปลกที่ตั้งงบประมาณลดลง ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไร จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร ภาคเอกชนรอการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ จึงน่าจะเพิ่มงบมากกว่า  และปีต่อๆไปจะเชื่อได้อย่างไรว่าจะแก้เศรษฐกิจได้ สาเหตุจริงๆ ที่ลดการตั้งงบเพราะเก็บภาษีไม่ได้ ไม่รู้จะเอาเงินจากตรงไหนใช่หรือไม่ นโยบายที่เป็นงบเพิ่มเติมที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งที่ครม.อนุมัติด้วยไม่รู้จะช่วยอย่างไร นอกจากนี้ จะมีวิธีการที่จะเก็บรายได้นอกจากการกู้เงินหรือไม่ และงบเพื่อชดเชยเงินคงคลังมีหรือไม่  

นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า หลักการจัดทำงบประมาณและดำเนินนโยบายการคลังยามเศรษฐกิจไม่ดี ต้องพยายามใช้เงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากที่สุด ทั้งนี้รัฐบาลใช้นโยบายการขาดดุล คือ ใช้เงินมากกว่าเก็บเงิน คืออัดเงินเข้าระบบ แต่ก็ต้องดูตามความเป็นจริงว่าใช้ได้จำนวนเท่าไหร่ งบปี 52 มีการประเมินว่า การขาดดุลมีมากกว่าที่คาดไว้ โดยจะเก็บรายได้น้อยกว่าเป้า 1 แสนล้านบาท สาเหตุจากการหดตัวเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยตั้งแต่พฤศจิกายน 51 เป็นต้นมา การส่งออกและนำเข้า ลดในอัตราร้อยละ 20 ถึง 30 ส่วผลกระทบจากการจัดเก็บรายได้ ทั้งภาษีมูลค้าเพิ่ม ศุลกากร วันนี้หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต่อเนื่องรวมถึงความไม่สงบภายในประเทศส่งผลความเชื่อมั่น ปีนี้รัฐบาลประเมินแล้วว่า การจัดเก็บรายได้จะต่ำกว่าเป้า  2 แสนล้านบาท ขึ้นไป ก็เป็นข้อจำกัดในการกำหนดกรอบวงเงิน เพราะการกำหนดกรอบต้องให้สัมพันธ์กับการจัดเก็บรายได้ ถ้าประเมินสูงกว่าความจริง หน่วยงานด้านการเก็บภาษี ก็จะถูกกดดันให้เก็บภาษีให้เข้าเป้า ผลคือ ส.ส.ก็จะมาบ่นว่า ไปไล่เก็บรีดไถ เดือดร้อนกับผู้ประกอบการ ไม่เอื้อต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

ครม.เห็นชอบงบปี53\”1.7ล้านล.\”

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณปี 2553 วงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท จากเดิมที่เคยวางกรอบไว้ที่ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท โดยภาพรวมการจัดสรรงบประมาณเกือบทุกกระทรวงจะมีการปรับลดงบประมาณลงมา เนื่องจากรายรับของปี 2553 ลดต่ำลงจากที่ตั้งเป้าหมายไว้ การปรับลดดังกล่าวมีหลักการสำคัญคือ จะต้องไม่กระทบการบริการประชาชน รวมทั้งนโยบายหลักที่มีผลต่อเนื่องให้คงไว้ เช่น โครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการนมโรเรียน การจ่ายเบี้ยเลี้ยงอาสาสมัครสาธาณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) เป็นต้น  ทั้งนี้ การจัดทำรายละเอียดงบประมาณปี 2553 จะต้องมีการนำกลับไปจัดทำรายละเอียดให้มีความสมบูรณ์ เพื่อนำเสนอกลับที่ประชุม ครม.อีกครั้ง

ไฟเขียว1.55ล้านล.กระตุ้นศก.รอบ2

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบรายละเอียดการใช้จ่ายงบประมาณในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 วงเงิน 1.55 ล้านล้านบาทด้วย ซึ่งเป็นผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ชุดที่มีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน โดยพิจารณาเสร็จไปแล้ว วงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท คาดว่าจะสามารถเสร็จสมบูรณ์และนำเสนอ ครม.ได้ในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้  กรอบการพิจารณาโครงการที่จะใช้เงินดังกล่าว จะประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก คือ 1.โครงการที่รัฐวิสาหกิจดำเนินการเอง และรัฐบาลค้ำประกันเงินกู้ให้ 2.การกู้เงินต่างประเทศมาลงทุน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาในหลายโครงการ และต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา 190 3.โครงการร่วมลงทุนกับเอกชน 4.วงเงินกู้จากการออกพระราชการกำหนด วงเงิน 8 แสนล้านบาท

\”การอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณปี 2553 ของรัฐบาล ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า รัฐบาลไม่มีเงิน ดังนั้นพิจารณาโครงการอะไร ต้องดูว่าใช้เงินเท่าไร ทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งการจัดสรรรงบประมาณให้หน่วยงานต่างๆ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่าหากกระทรวงไหนมีความจำเป็นต้องใช้เงินมากขึ้นก็ขอให้ทำแผนเข้ามาเพื่อจะได้มีการพิจารณาอีกครั้ง\” นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว

ไม่หั่นงบท้องถิ่น-เพิ่มลงทุนทดแทน 

นายกอร์ปศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับรายะเอียดงบประมาณปี 2553 ในส่วนของงบกลาง จากปี 2552 ตั้งไว้ 254,583 ล้านบาท ในปี 2553 จะลดลงเหลือ 220,368 ล้านบาท หรือลดลง 34,214 ล้านบาท คิดลดลง 13.4% กระทรวงกลาโหม ในปีงบประมาณ 2552 ตั้งไว้ 170,157 ล้านบาท ขณะที่ปี 2553 อยู่ที่ 151,590 ล้านบาท ลดลง 18,566 ล้านบาทหรือลดลง 10.9%

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการปรับลดงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นจำนวนมาก นายกอร์ปศักดิ์กล่าวยืนยันว่า จะไม่มีการเข้าไปแตะในส่วนดังกล่าว แม้งบประมาณปี 2553 จะลดน้อยลง แต่จะมีการเพิ่มงบฯลงทุนทดแทน อาทิ โครงการระบบชลประทาน หรือกรณีงบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในปี 2553 แม้จะเหลือ 55,565 ล้านบาท จากปี 2552 ที่ได้รับ 70,823 ล้านบาท แต่หากไปดูงบฯกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 จะพบว่ามีการจัดสรรมากกว่างบปกติหลายเท่า ส่วนโครงการต้นกล้าอาชีพ ในระยะ 2 ช่วงปีงบฯ 2553 เดิมมีแนวคิดจะตัดงบประมาณลง ก็จะตั้งไว้เท่าเดิมคือ 7 พันล้านบาท

ไม่มีโบนัสขรก.ให้เงินรางวัลแทน

นายกอร์ปศักดิ์ ยังกล่าวถึงเงินเดือนข้าราชการในปีงบประมาณ 2553 ว่า คงจะสามารถปรับขึ้นได้เฉพาะการปรับขึ้นตามขั้นเงินเดือน แต่ในส่วนเงินโบนัสพิเศษคงจะไม่มี แต่ในที่ประชุมมีการหารือกันว่า อาจจะปรับเป็นเงินรางวัลตอบแทน ซึ่งแหล่งเงินอาจจะมาจากงบฯที่เหลือของหน่วยงานนั้นๆ หรือจากงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตในการปรับลดงบประมาณ กระทรวงที่พรรคร่วมรัฐบาลดูแลอยู่ มักจะถูกปรับลดจำนวนมาก นายกอร์ศักดิ์กล่าวว่า อย่าไปมองแบบนั้น เพราะทุกระทรวงทุกปรับลดทั่วกัน

แหล่งข่าวจากทำเนียรัฐบาล กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณปี 2553 และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ รอบ 2 ต้องใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง โดยนายกฯได้ย้ำต่อที่ประชุมว่าการทำงบฯปี 2553 ยังไม่ถือเป็นข้อสรุปสุดท้าย หากระทรวงใดมีความจำเป็นสามารถทำแผนเสนอขึ้นมาได้ พร้อมแสดงความเป็นห่วงเรื่องการจัดเก็บรายได้ จากปรับขึ้นภาษีสุรา น้ำมัน ยาสูบ  ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้ 6-7 หมื่นล้านบาท ว่าต้องทำอย่างรอบคอบ รวดเร็ว เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะปัญหากักตุนสินค้า

ออกกม.2ฉบับให้คลังกู้เพิ่ม8แสนล.

ที่กระทรวงการคลัง นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุม ครม. ว่า ที่ประชุม มีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม 8 แสนล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนของรัฐบาลตาม \”แผนปฏิบัติการ : ไทยเข้มแข็ง 2555\” โดยการออกกฎหมาย 2 ฉบับ คือพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. …. วงเงิน 4 แสนล้านบาท และพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐฏิจ พ.ศ. …. วงเงิน 4 แสนล้านบาท ในแผนปฏิบัติการ : ไทยเข้มแข็ง 2555

ขึ้นภาษีแอลกอฮอล์7-9%มีผล6พ.ค.

นายกรณ์ ยังกล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในสินค้าประเภทเบียร์ สุราขาว สุราผสมและบรั่นดี เพิ่มเฉลี่ย 7-9% คาดว่ารัฐบาลจะมีรายได้รวม ประมาณ 7 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ การปรับขึ้นภาษีจะมีผลในเวลา 24.00 น.ของวันที่ 6 พฤษภาคม 2552

นายแพทย์พฤฒิชัย  ดำรงรัตน์  รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า  อัตราภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะส่งผลให้ราคาขายปลีกเบียร์ เพิ่มขึ้น 4-5 บาทต่อขวด  เหล้าขาวปรับขึ้น 1.75
อ่านต่อที่ : “มาร์ค”แจงถึงบฯ53ลดลงก็ไม่รีดภาษี เหตุไม่เชื่อกระตุ้นศก.ขรก.เศร้าปีหน้าไม่มีโบนัส ได้เงินรางวัลแทน

ขรก.เศร้าปีหน้าไม่มีโบนัส ครม.หั่นงบปีโ พฤษภาคม 13, 2009

Posted by 1000thainews in ทั่วไป.
Tags: , , , , , , , , ,
add a comment

ขรก.เศร้าปีหน้าไม่มีโบนัส ครม.หั่นงบปีโ

ขรก.เศร้าปีหน้าไม่มีโบนัส ครม.หั่นงบปี′53เหลือ1.7ล้านล. เล็งขึ้นภาษีเหล้า 7-9% น้ำมัน-ยาสูบส่อโดน

"กอร์ปศักดิ์"เผยปี′53ไม่มีโบนัส ให้เงินรางวัลแทน ครม.เคาะงบปี53 เป็น1.7ล้านล้าน พร้อมทุ่ม1.55ล้านล.กระตุ้นศก.ระลอก2 นายกฯย้ำถูกปรับลดทุกกระทรวง เล็งขึ้นภาษีแอลกอฮอล์7-9%ตั้งแต่เที่ยงคืน6พ.ค. น้ำมัน-ยาสูบส่อถูกปรับด้วย

ครม.เห็นชอบงบปี53\”1.7ล้านล.\”

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณปี 2553 วงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท จากเดิมที่เคยวางกรอบไว้ที่ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท โดยภาพรวมการจัดสรรงบประมาณเกือบทุกกระทรวงจะมีการปรับลดงบประมาณลงมา เนื่องจากรายรับของปี 2553 ลดต่ำลงจากที่ตั้งเป้าหมายไว้ การปรับลดดังกล่าวมีหลักการสำคัญคือ จะต้องไม่กระทบการบริการประชาชน รวมทั้งนโยบายหลักที่มีผลต่อเนื่องให้คงไว้ เช่น โครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการนมโรเรียน การจ่ายเบี้ยเลี้ยงอาสาสมัครสาธาณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) เป็นต้น  ทั้งนี้ การจัดทำรายละเอียดงบประมาณปี 2553 จะต้องมีการนำกลับไปจัดทำรายละเอียดให้มีความสมบูรณ์ เพื่อนำเสนอกลับที่ประชุม ครม.อีกครั้ง

ไฟเขียว1.55ล้านล.กระตุ้นศก.รอบ2

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบรายละเอียดการใช้จ่ายงบประมาณในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 วงเงิน 1.55 ล้านล้านบาทด้วย ซึ่งเป็นผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ชุดที่มีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน โดยพิจารณาเสร็จไปแล้ว วงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท คาดว่าจะสามารถเสร็จสมบูรณ์และนำเสนอ ครม.ได้ในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้  กรอบการพิจารณาโครงการที่จะใช้เงินดังกล่าว จะประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก คือ 1.โครงการที่รัฐวิสาหกิจดำเนินการเอง และรัฐบาลค้ำประกันเงินกู้ให้ 2.การกู้เงินต่างประเทศมาลงทุน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาในหลายโครงการ และต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา 190 3.โครงการร่วมลงทุนกับเอกชน 4.วงเงินกู้จากการออกพระราชการกำหนด วงเงิน 8 แสนล้านบาท

\”การอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณปี 2553 ของรัฐบาล ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า รัฐบาลไม่มีเงิน ดังนั้นพิจารณาโครงการอะไร ต้องดูว่าใช้เงินเท่าไร ทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งการจัดสรรรงบประมาณให้หน่วยงานต่างๆ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่าหากกระทรวงไหนมีความจำเป็นต้องใช้เงินมากขึ้นก็ขอให้ทำแผนเข้ามาเพื่อจะได้มีการพิจารณาอีกครั้ง\” นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว

ไม่หั่นงบท้องถิ่น-เพิ่มลงทุนทดแทน 

นายกอร์ปศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับรายะเอียดงบประมาณปี 2553 ในส่วนของงบกลาง จากปี 2552 ตั้งไว้ 254,583 ล้านบาท ในปี 2553 จะลดลงเหลือ 220,368 ล้านบาท หรือลดลง 34,214 ล้านบาท คิดลดลง 13.4% กระทรวงกลาโหม ในปีงบประมาณ 2552 ตั้งไว้ 170,157 ล้านบาท ขณะที่ปี 2553 อยู่ที่ 151,590 ล้านบาท ลดลง 18,566 ล้านบาทหรือลดลง 10.9%

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการปรับลดงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นจำนวนมาก นายกอร์ปศักดิ์กล่าวยืนยันว่า จะไม่มีการเข้าไปแตะในส่วนดังกล่าว แม้งบประมาณปี 2553 จะลดน้อยลง แต่จะมีการเพิ่มงบฯลงทุนทดแทน อาทิ โครงการระบบชลประทาน หรือกรณีงบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในปี 2553 แม้จะเหลือ 55,565 ล้านบาท จากปี 2552 ที่ได้รับ 70,823 ล้านบาท แต่หากไปดูงบฯกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 จะพบว่ามีการจัดสรรมากกว่างบปกติหลายเท่า ส่วนโครงการต้นกล้าอาชีพ ในระยะ 2 ช่วงปีงบฯ 2553 เดิมมีแนวคิดจะตัดงบประมาณลง ก็จะตั้งไว้เท่าเดิมคือ 7 พันล้านบาท

ไม่มีโบนัสขรก.ให้เงินรางวัลแทน

นายกอร์ปศักดิ์ ยังกล่าวถึงเงินเดือนข้าราชการในปีงบประมาณ 2553 ว่า คงจะสามารถปรับขึ้นได้เฉพาะการปรับขึ้นตามขั้นเงินเดือน แต่ในส่วนเงินโบนัสพิเศษคงจะไม่มี แต่ในที่ประชุมมีการหารือกันว่า อาจจะปรับเป็นเงินรางวัลตอบแทน ซึ่งแหล่งเงินอาจจะมาจากงบฯที่เหลือของหน่วยงานนั้นๆ หรือจากงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตในการปรับลดงบประมาณ กระทรวงที่พรรคร่วมรัฐบาลดูแลอยู่ มักจะถูกปรับลดจำนวนมาก นายกอร์ศักดิ์กล่าวว่า อย่าไปมองแบบนั้น เพราะทุกระทรวงทุกปรับลดทั่วกัน

แหล่งข่าวจากทำเนียรัฐบาล กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณปี 2553 และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ รอบ 2 ต้องใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง โดยนายกฯได้ย้ำต่อที่ประชุมว่าการทำงบฯปี 2553 ยังไม่ถือเป็นข้อสรุปสุดท้าย หากระทรวงใดมีความจำเป็นสามารถทำแผนเสนอขึ้นมาได้ พร้อมแสดงความเป็นห่วงเรื่องการจัดเก็บรายได้ จากปรับขึ้นภาษีสุรา น้ำมัน ยาสูบ  ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้ 6-7 หมื่นล้านบาท ว่าต้องทำอย่างรอบคอบ รวดเร็ว เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะปัญหากักตุนสินค้า

ออกกม.2ฉบับให้คลังกู้เพิ่ม8แสนล.

ที่กระทรวงการคลัง นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุม ครม. ว่า ที่ประชุม มีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม 8 แสนล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนของรัฐบาลตาม \”แผนปฏิบัติการ : ไทยเข้มแข็ง 2555\” โดยการออกกฎหมาย 2 ฉบับ คือพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. …. วงเงิน 4 แสนล้านบาท และพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐฏิจ พ.ศ. …. วงเงิน 4 แสนล้านบาท ในแผนปฏิบัติการ : ไทยเข้มแข็ง 2555

ขึ้นภาษีแอลกอฮอล์7-9%มีผล6พ.ค.

นายกรณ์ ยังกล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในสินค้าประเภทเบียร์ สุราขาว สุราผสมและบรั่นดี เพิ่มเฉลี่ย 7-9% คาดว่ารัฐบาลจะมีรายได้รวม ประมาณ 7 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ การปรับขึ้นภาษีจะมีผลในเวลา 24.00 น.ของวันที่ 6 พฤษภาคม 2552

นายแพทย์พฤฒิชัย  ดำรงรัตน์  รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า  อัตราภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะส่งผลให้ราคาขายปลีกเบียร์ เพิ่มขึ้น 4-5 บาทต่อขวด  เหล้าขาวปรับขึ้น 1.75
อ่านต่อที่ : ขรก.เศร้าปีหน้าไม่มีโบนัส ครม.หั่นงบปีโ