jump to navigation

โฆษณาหดฟาด“จีเอ็มเอ็ม”สื่อสิ่งพิมพ์-วิทยุรายได้ร่วง พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

โฆษณาหดฟาด“จีเอ็มเอ็ม”สื่อสิ่งพิมพ์-วิทยุรายได้ร่วง

โฆษณาหดฟาด“จีเอ็มเอ็ม”สื่อสิ่งพิมพ์วิทยุรายได้ร่วง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
15 พฤษภาคม 2552 09:38 น.

       “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1/2552 รายได้รวม 1,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18 % และกำไรสุทธิ 106 ล้านบาท เผยธุรกิจดิจิตอล-โชว์บิซ-อีเวนต์-ละครทีวีเป็นพระเอก ส่วนธุรกิจสื่อมีรายได้ลดลงตามภาวะตลาด ทั้งสิ่งพิมพ์ลดลง 43% วิทยุลดลง 27%
       

       นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2552 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,962 ล้านบาท เติบโต 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
       
       สำหรับรายได้ที่เติบโตมีนัยสำคัญ ได้แก่ ธุรกิจเพลงโดยรวม (Total Music Business) มีรายได้รวม 919 ล้านบาท เติบโต 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจดิจิตอลมีการเติบโตสูงกว่า 80% เป็นผลมาจากโมเดลธุรกิจบอกรับสมาชิก (Subscription Model) คือ ให้ลูกค้าสมัครเป็นสมาชิกจ่ายเงินรายเดือน (Subscriber) เพื่อดาวน์โหลดคลังเพลงแกรมมี่ได้ไม่จำกัด
       
       ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ร่วมสร้างโมเดลดังกล่าวกับสองโอเปอเรเตอร์ ได้แก่ 1.ดีแทค ในรูปแบบบริการแฮปปี้ แวมไพร์ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 จนขณะนี้มีสมาชิกทะลุ 1 ล้านรายตามเป้าที่วางไว้ และ 2.เอไอเอส เพื่อเพิ่มรูปแบบการซื้อเสียงรอสายในรูปแบบบริการ *123 Calling Grammy ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 จนขณะนี้มีสมาชิกเกือบ 7 แสนคน และธุรกิจโชว์บิซที่มีโชว์หลากหลายรูปแบบทั้งจากศิลปินรุ่นเก่าและใหม่ ได้แก่ เดอะ สตาร์ วอร์ / ละครเวทีเนื้อคู่ 11 ฉาก / คอนเสิร์ตชรินทร์ / คอนเสิร์ตไอซ์ ศรัณยู / คอนเสิร์ตปั่นและชรัส
       
       รวมทั้งธุรกิจอีเวนต์มีรายได้ 314 ล้านบาท เติบโต 92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะภาคเอกชนออกมาใช้งบจัดงานอีเวนต์มากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ในขณะที่หน่วยงานของภาครัฐก็ออกมาจัดงานอีเวนต์เช่นกัน
       
       ส่วนธุรกิจโทรทัศน์มีรายได้ 390 ล้านบาท เติบโต 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากละครซิทคอมและละครหลังข่าวที่ได้รับเรตติ้งสูงติดต่อกันทุกเรื่อง เช่น แก้วล้อมเพชร บ่วงรักกามเทพ เป็นต้น ขณะที่ทีวีเซ็กเมนต์วัยรุ่นประสบความสำเร็จสูงเช่นกัน
       
       ส่วนธุรกิจสื่อมีรายได้ลดลงตามภาวะตลาด อาทิ ธุรกิจสิ่งพิมพ์มีรายได้ 42 ล้านบาท ลดลง 43% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากภาพรวมเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์หดตัว 22% ธุรกิจวิทยุมีรายได้ 113 ล้านบาท ลดลง 27% เป็นผลมาจากสองปัจจัย คือ ปัจจัยแรกได้รับผลกระทบจากภาพรวมเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาผ่านสื่อวิทยุหดตัว 12.6% และปัจจัยที่สองมีการรีแบรนด์ดิ้งคลื่นวิทยุ CHILL 89 FM และ HOT FM 91.5 ทำให้ในช่วงแรกๆ ยังมีเม็ดเงินโฆษณาเข้ามาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
        
       ทั้งนี้ บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายรวม 1,769 ล้านบาท เติบโต 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากสองปัจจัย คือ ปัจจัยแรกเป็นธุรกิจวิทยุลงทุนรีแบรนด์ดิ้งสองคลื่นวิทยุ และปัจจัยที่สองเป็นธุรกิจทีวีดาวเทียมลงทุนทั้งทางด้านบุคลากรและอุปกรณ์ต่างๆ
       
       อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 106 ล้านบาท เติบโต 1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ เนื่องจากแม้ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจยังไม่ตื่นตัวและบริษัทฯ ยังมีการลงทุนเพิ่ม แต่บริษัทฯ สามารถรักษาผลกำไรได้ และในปี 2552 ยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ คือ ไม่ต่ำกว่าผลประกอบการปีที่ผ่านมา

อ่านต่อที่ : โฆษณาหดฟาด“จีเอ็มเอ็ม”สื่อสิ่งพิมพ์-วิทยุรายได้ร่วง

อีกแค่ 90 นาที พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in กีฬา.
Tags: , , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

อีกแค่ 90 นาที

เหลือเพียงแค่การเก็บอย่างน้อย1 แต้มจาก 2 นัดที่เหลือ ซึ่งจะมีโปรแกรมเปิดบ้านรับ อาร์เซนอลในสัปดาห์นี้ และไปเยือน ฮัลล์ ซิตี ในนัดสุดท้ายของซีซัน

เตเบซ

เกมระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล ซึ่งจะเตะเป็นคู่แรกของสัปดาห์นี้จึงเป็นคู่เอกอย่างไม่ต้องสงสัย ซีซันนี้คู่นี้เจอกันมาแล้ว 3 ครั้ง เป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะได้ 2 ครั้ง ในศึกแชมเปียนส์ลีก ส่วนในพรีเมียร์ลีกที่บ้านอาร์เซนอล ปืนใหญ่ชนะไปด้วยสกอร์ 2-1

นัดนี้อาร์เซนอล คงต้องเรียกความมั่นใจกลับมาให้เร็วที่สุด หลังจาก 2 นัดหลังสุดโดนทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด และเชลซี ยิงกระจาย เชื่อว่า อาร์แซน เวนเกอร์ คงสั่งลูกทีมเล่นเต็มที่ถึงแม้จะไม่มีแรงจูงใจเรื่องอันดับในตาราง ที่ตอนนี้ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าปืนใหญ่จะได้ไป แชมเปียนส์ลีกในฐานะทีมอันดับ 4 แต่อย่างไรก็ตาม การเจอกันของสองทีมนี้ ไม่ว่าครั้งไหน มีอะไรสนุกๆให้ดูเยอะเสมอ

สำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด แม้ว่าจะต้องการเพียงหนึ่งแต้มก็จะได้ฉลองแชมป์ต่อหน้าแฟนในรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด พร้อมทำสถิติครองแชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัย เท่ากับ ลิเวอร์พูล อย่างไรก็ตามเซอร์ อเลกซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ได้หวังเพียงแค่ผลเสมอในนัดนี้เท่านั้น ฟันธงว่า แมนฯ ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มระยะหลังได้เด็ดขาดสามารถเล่นเกมรุกแบบสั่งประตูได้ ไม่น่าพลาดการฉลองแชมป์ด้วยชัยชนะหลังจบ 90 นาที

คู่ถัดมาเป็นการเจอกันระหว่าง ทอตแนมฮอต สเปอร์ กับ แมนฯ ซิตี สองทีมที่กำลังช่วงชิงอันดับที่ 7 ร่วมกันกับฟูแลมและ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด การได้อันดับที่ 7 หมายถึงการได้สิทธิไปเล่นยูฟ่า ยูโรปาลีก ดังนั้นนัดนี้จึงเป็นนัดที่มีความหมายทั้งในแง่ศักดิ์ศรีและรายได้ต่อสโมสรมากทีเดียว เมื่อทั้งสองทีมนี้เป็นสองทีมที่ทุ่มเงินซื้อนักเตะมากที่สุดในช่วงเปิดตลาดเดือนม.ค.ที่ผ่านมา

นัดแรกที่เจอกันสเปอร์สบุกไปเฉือนแมนฯ ซิตี ได้ถึงถิ่น 2-1 ในนัดล่าสุด สเปอร์สามารถบุกไปยันเสมอเอฟเวอร์ตันได้ถึงถิ่น ส่วน แมนฯ ซิตี บุกไปพ่ายคู่ปรับร่วมเมืองแมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 สำหรับในเกมนี้ คาดว่ากุนซือของทั้งสองทีมคงสั่งลูกทีมเดินหน้าบุก เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็ต้องการ 3 แต้มเพื่อไล่จี้ติดฟูแลม ทีมอันดับ 7 ในตารางในตอนนี้ ที่มี 50 คะแนน มากกว่าสเปอร์ส และ แมนฯ ซิตี 2 และ 3 แต้ม ตามลำดับ

ขอฟันธงว่า สเปอร์สเจ้าบ้านจะชนะ เนื่องจากสถิติเก่าที่เจอกัน ชี้ว่า แมนฯ ซิตีผู้มาเยือน แพ้ทางบอลของสเปอร์ส โดยเป็น ฝ่ายปราชัยไปถึง 9 จาก 10 นัดหลังสุดที่เจอกัน

สุดท้ายขอว่าถึง ฮัลล์ ซิตี น้องใหม่พรีเมียร์ลีกที่ครั้งหนึ่งซีซันนี้เคยทะยานสูงในตารางคะแนน แต่ด้วยฟอร์มอันย่ำแย่ชนะนัดเดียวใน 21 นัดหลังสุด ทำให้ความฝันที่จะโกอินเตอร์เมื่อช่วงต้นฤดูกาล ตอนนี้กลายเป็นชีวิตจริงที่ต้องดิ้นหนีตกชั้นร่วมกับอีก 4 ทีมซึ่งได้แก่ ซันเดอร์แลนด์ นิวคาสเซิล มิดเดิลสโบรช์ และเวสต์บรอมวิช ในอีกสองนัดที่เหลือ ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นงานหนักทีเดียวสำหรับ ฟิล บราวน์ กุนซือของฮัลล์ เนื่องจากนัดนี้ต้องไปเยือนโบลตัน และนัดสุดท้ายถึงจะได้เล่นในบ้าน แต่ผู้มาเยือนคือ แมนฯ ยูไนเต็ด

นัดล่าสุดฮัลล์ ซิตีเปิดบ้านทำศึกหนีตกชั้นกับสโตก น้องใหม่ที่เพิ่งขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีกด้วยกันซีซันนี้ แต่ทำไม่สำเร็จถูกสโตกบุกมาเชือดถึงถิ่น 2-1 มี 34 คะแนนครองอันดับที่ 18 อยู่ในตาราง ส่วนโบลตันในนัดล่าสุดเสมอกับซันเดอร์แลนด์ในบ้าน ทำให้ตอนนี้มี 40 คะแนน ซึ่งว่ากันว่าเป็นคะแนนที่เพียงพอต่อการอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก

ความกดดันจึงน่าจะเป็นของฮัลล์ ซิตี ที่พลาดไม่ได้ จึงฟันธงว่าเจ้าบ้านโบลตัน จะเล่นแบบไม่กดดัน และจะสามารถฉวยโอกาสในการทำประตูได้ดีกว่าเป็นฝ่ายชนะได้สำเร็จเหมือนกับนัดแรกที่สามารถบุกไปเฉือนฮัลล์ได้ 1-0 ถึงถิ่น

อ่านต่อที่ : อีกแค่ 90 นาที

ยูนิเวนเจอร์ เจอพิษราคาสังกะสีลด กระทบรายได้ พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

ยูนิเวนเจอร์ เจอพิษราคาสังกะสีลด กระทบรายได้

นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานอำนวยการ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2552 ว่าบริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 25.0 ล้านบาท โดยมียอดขายในไตรมาสแรก 123.2 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายลดลงถึง 212.5 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกเมื่อปีที่แล้วที่มียอดขาย 335.7 ล้านบาท ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้อุตสาหกรรมยางรถยนต์ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของบริษัทฯ ต้องลดกำลังการผลิตลงอย่างมาก ทำให้ความต้องการสังกะสีออกไซด์ลดลง ประกอบกับราคาสังกะสีแท่งของตลาดโลกได้ลดลงอย่างมีสาระสำคัญ โดยราคาเฉลี่ยลดลงจาก 1,917 เหรียญสหรัฐต่อตันในปี 2551 เป็น 1,217 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือลดลงร้อยละ 57.5 อย่างไรก็ตามแนวโน้มในไตรมาส 2 ก็ได้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของความต้องการสินค้าและราคาที่ปรับขึ้นแล้วบ้าง

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต่อไปจะเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ มีการรับรู้รายได้จากโครงการ พาร์ควิว วิภาวดี 4 ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนห้องชุดให้กับลูกค้าแล้ว โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 22.7 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2551 เป็น 27.7 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2552 หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 22  ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะรับรู้รายได้จากโครงการ ยูสบาย คอนโดมิเนียมมูลค่า 450 ล้านบาทในปลายปีนี้

นางอรฤดี กล่าวต่อไปว่า “ในปีนี้บริษัทฯ อยู่ในช่วงขยายการลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงการปาร์คเวนเชอร์ บริเวณหัวมุมถนนเพลินจิต-วิทยุ มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท โครงการยูดีไลท์ แอท บางซื่อ สเตชั่น มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท และยังมีโครงการที่จะเปิดใหม่อีก 1-2 โครงการมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาทในปลายปีนี้ ดังนั้นบริษัทฯ จึงมีค่าใช้จ่ายในการตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และต้องมีการขยายทีมงานและระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯ ต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในปีนี้ ก่อนที่จะทยอยรับรู้รายได้โครงการต่างๆ เมื่อพัฒนาแล้วเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า”

“บริษัทฯ ยังมีความเชื่อมั่นที่จะเพิ่มรายได้ และสร้างการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันในไตรมาสแรกบริษัทฯ มีมูลค่าทางบัญชีเท่ากับ 2.41 บาทต่อหุ้น และมีเงินสดกว่า 800 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมในการลงทุนต่อไป” นางอรฤดีกล่าวในที่สุด

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ชื่อย่อ UV มีทุนจดทะเบียน 944.5 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท อเดลฟอส จำกัด (ถือหุ้นโดยนายฐาปน และ นายปณต สิริวัฒนภักดี) ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในส่วนธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมผ่าน บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด

อ่านต่อที่ : ยูนิเวนเจอร์ เจอพิษราคาสังกะสีลด กระทบรายได้

Q1แกรมมี่ รายได้โต18% ดิจิทัลมาแรง พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

Q1แกรมมี่ รายได้โต18% ดิจิทัลมาแรง

นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2552 บริษัทมีรายได้รวม 1,962 ล้านบาท เติบโต 18% มีกำไรสุทธิ 106 ล้านบาท เติบโต 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะถดถอย ขณะที่บริษัทได้มีการลงทุนเพิ่มในธุรกิจทีวีดาวเทียม  แต่ผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ ยังมีผลกำไรเพิ่มขึ้นได้  คาดว่าผลประกอบการในปี 2552 ยังเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ ไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา

สำหรับไตรมาสแรกปีนี้ธุรกิจเพลง (Total Music Business) มีรายได้ 919 ล้านบาท เติบโต 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนธุรกิจดิจิทัลมีการเติบโตสูงกว่า 80% เป็นผลมาจากโมเดลธุรกิจบอกรับสมาชิก (Subscription Model) ให้ลูกค้าสมัครเป็นสมาชิกจ่ายเงินรายเดือน เพื่อดาวน์โหลดเพลงแกรมมี่ได้ไม่จำกัด โดยดำเนินการร่วมกับ “ดีแทค” ผ่านบริการแฮปปี้ แวมไพร์ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 ขณะนี้มีสมาชิกกว่า 1 ล้านราย  และ “เอไอเอส” บริการ *123 Calling Grammy ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 ขณะนี้มีสมาชิกเกือบ 7 แสนคน

ส่วนธุรกิจโชว์บิซที่มีการแสดงหลากหลายรูปแบบทั้งจากศิลปินรุ่นเก่าและใหม่ ได้แก่ เดอะ สตาร์ วอร์  ละครเวทีเนื้อคู่ 11 ฉาก   คอนเสิร์ตไอซ์ ศรัณยู  คอนเสิร์ตปั่นและชรัส มีรายได้โตต่อเนื่อง เช่นเดียวกับธุรกิจอีเวนท์มีรายได้ 314 ล้านบาท โต 92% เนื่องจากภาคเอกชนใช้กลยุทธ์จัดงานอีเวนท์เพื่อกระตุ้นยอดขายมากขึ้น  ในขณะที่หน่วยงานภาครัฐก็ออกมาจัดงานอีเวนท์เช่นกัน สำหรับธุรกิจโทรทัศน์ไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้ 390 ล้านบาท เติบโต 13% เป็นผลมาจากละครซิทคอมและละครหลังข่าวค่ำได้รับเรทติ้งสูงติดต่อกันทุกเรื่อง

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ธุรกิจสื่อปีนี้มีรายได้ลดลงตามภาวะตลาด อาทิ ธุรกิจสิ่งพิมพ์มีรายได้ 42 ล้านบาท ลดลง 43% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากภาพรวมเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์หดตัว 22% ธุรกิจวิทยุมีรายได้ 113 ล้านบาท ลดลง 27% จากผลกระทบจากภาพรวมเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาผ่านสื่อวิทยุหดตัว 12.6% และการ Re branding คลื่นวิทยุ CHILL 89 FM  และ HOT FM 91.5 ทำให้ช่วงแรกๆ มีเม็ดเงินโฆษณาเข้ามาไม่มาก

อ่านต่อที่ : Q1แกรมมี่ รายได้โต18% ดิจิทัลมาแรง

ดีแทคขานรับสูตรใหม่คำนวณไอซี พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in เทคโนโลยี.
Tags: , , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

ดีแทคขานรับสูตรใหม่คำนวณไอซี

นายทอเร่ จอห์นเซ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า ดีแทคเห็นด้วยกับแนวทางที่ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ประกาศใช้สูตรการคิดคำนวณค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (ไอซี) อย่างเป็นทางการ เพราะเป็นมาตรฐานสากลที่ทำกันทั่วโลก ซึ่งหลังจากได้ตัวเลขไอซีแล้ว กทช.ต้องตัดสินว่าจะใช้อัตราการคิดไอซีในลักษณะใด
 
เนื่องจากตามหลักการใน ส่วนค่าไอซีมือถือ จะเก็บในอัตราเดียวกันทุกผู้ให้บริการเลยหรือว่าจะเก็บต่างกันไปในแต่ละผู้ให้บริการ ซึ่งความเห็นของดีแทค ควรจะใช้อัตราเดียวกันทุกผู้ให้บริการ เพราะในต่างประเทศจะใช้อัตราต่างกันเฉพาะกับผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตใหม่เท่านั้น แต่ในประเทศไทยผู้ให้บริการทุกรายเป็นรายเดิมที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกำหนดเงื่อนไขให้รายใหม่ได้เปรียบแก่ผู้ให้บริการ และหากมีผู้ให้บริการรายใหม่ก็ได้เปรียบรายเก่า ที่ไม่ต้องเสียค่าส่วนแบ่งรายได้สัมปทาน
 
“ไตรมาส 1 ดีแทคจ่ายค่าไอซีประมาณ 200 ล้านบาท แต่ถ้าผู้ให้บริการทุกรายเข้าสู่ระบบไอซี โดยเฉพาะฮัทช์ ที่มีการโทรเข้าดีแทคสูงมาก การวิ่งเข้าออกของไอซีอาจจะเปลี่ยนไป ก็ต้องรอ กทช. อนุมัติ และ สุดท้ายกทช. ต้องสรุปว่าจะใช้วิธีใด และใช้อัตราเท่าใด เพื่อสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาด” นายทอเร่ กล่าว
 
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของดีแทค กล่าวว่า ดีแทคได้เปิดตัวซิมแฮปปี้ใหม่ “15หยกๆ 16หย่อนๆ” ซิมระบบพรีเพดเน้นเจาะตลาดกลุ่มวัยแรกรุ่นอย่างชัดเจน เนื่องจากพบว่าตลาดมือถือปีนี้มีการชะลอตัวจากเศรษฐกิจและการเมือง แต่ลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ยังคงใช้งานมือถือเป็นประจำ และโทรนานในช่วงเวลาก่อนนอน
 
ดังนั้นจึงได้ออกซิมใหม่ดังกล่าว ช่วยให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างประหยัดมากขึ้นและเป็นการนำโครงข่ายมาใช้ประโยชน์สูงสุดทุกช่วงเวลา เพราะโทรนาทีละ 15 สตางค์ ในเครือข่ายในช่วงเวลา 22.00 น.-10.00 น. นอกเครือข่ายนอกเวลา นาทีละ 1 บาท ส่งเอสเอ็มเอสในเครือข่าย ข้อความละ 16 สตางค์ตลอด 24 ชั่วโมง นอกเครือข่าย ข้อความละ 1 บาท  ซึ่งดีแทคเตรียมกระจายซิม 1 แสนซิม ไปทั่วประเทศใน 2 เดือน


อ่านต่อที่ : ดีแทคขานรับสูตรใหม่คำนวณไอซี

วธ.ทุ่ม 100 ล.สร้างต้นกล้าอาชีพ เปิด 28 หลักสูตร ดึงคนอบรมแถมค่าตอบแทนเฉียดหมื่น/ด. พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in คุณภาพชีวิต.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

วธ.ทุ่ม 100 ล.สร้างต้นกล้าอาชีพ เปิด 28 หลักสูตร ดึงคนอบรมแถมค่าตอบแทนเฉียดหมื่น/ด.

วธ.ทุ่ม 100 ล.สร้างต้นกล้าอาชีพ เปิด 28 หลักสูตร ดึงคนอบรมแถมค่าตอบแทนเฉียดหมื่น/ด.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 พฤษภาคม 2552 14:49 น.

นายธีระ สลักเพชร รมว.วธ.

       วธ.ทุ่ม 100 ล้าน สร้างต้นกล้าอาชีพศิลปวัฒนธรรม หวังสร้างรายได้ให้คนตกงานและต่อยอดสินค้าวัฒนธรรม สถาบันบัณฑิตฯ เปิด 28 หลักสูตร ยก “แต่งหน้า-ร้องเพลง-กราฟฟิก” ดึงดูดผู้เข้าอบรม มิหนำมีค่าตอบแทนให้เดือนละเฉียดหมื่น
       
       วันนี้ (14 พ.ค.) ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานแถลงข่าว โครงการต้นกล้าอาชีพศิลปวัฒนธรรม ว่า ตามนโยบายต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ว่างงานจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ จนทำให้เกิดปัญหาการเลิกจ้างงาน รวมถึงช่วยเหลือบัณฑิตที่จะจบการศึกษาในปีการศึกษานี้กว่า 1 ล้านคนที่ยังไม่มีงานทำ ทั้งนี้ จากการเปิดรับสมัครเข้ารับการอบรม มีกระแสการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้สนใจเข้าร่วมลงทะเบียนแล้วกว่า 500 คน ผู้เข้าอบรม สามารถนำความรู้และทักษะต่างๆ มาใช้ประกอบอาชีพได้ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่องและเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 18-24 ของทุกเดือน ทั้งนี้ การเปิดโครงการดังกล่าวจะแตกต่างจากหน่วยงานอื่นๆ เนื่องจากสถาบัณฑิตพัฒนศิลป์ มีหน่วยงานกระจายอยู่ทั่วประเทศ จึงสามารถรองรับผู้เข้าอบรมได้จำนวนมาก
       
       นายกมล สุวุฒิโฑ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กล่าวว่า สถาบันได้ของบประมาณดำเนินการจำนวน 100 ล้านบาท โดยจะมีการเปิดอบรมเน้นที่ นักศึกษาจบใหม่ บัณฑิต และประชาชนทั่วไปที่ว่างงาน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมระยะเวลา 5 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ย.นี้ มีหลักสูตรการอบรม ทั้งสิ้น 28 หลักสูตร ในด้านนาฏศิลป์ ด้านดนตรีคีตศิลป์ และด้านช่างศิลป์ โดยจะมีการปรับเปลี่ยนการให้การอบรมหมุนเวียนกันไป
        
       ทั้งนี้ จะต้องเข้ารับการอบรมอย่างน้อย เดือนละไม่ต่ำกว่า 20 วัน หรือ ไม่ต่ำกว่า 120 ชั่วโมง โดยทางสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์จะจัดสรรค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างการอบรมให้จำนวน 4,800 บาท ต่อคน โดยจะจ่ายให้ผู้เข้าอบรม จำนวน 160 บาท/คน/วัน รวมทั้งจะมีค่าเดินทาง จำนวน 720 บาท/คน/เดือน ค่าพาหนะเดินทางมาที่ฝึกอบรม เหมาจ่าย 1,000 บาท/คน นอกจากนี้ เมื่อผ่านการอบรมแล้ว จะได้รับค่าเดินทางกลับภูมิลำเนา เหมาจ่าย 1,000 บาท/คน และเงินอุดหนุนเพื่อการประกอบอาชีพ จำนวน 4,800 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา ไม่เกิน 3 เดือน โดยหลังจากนั้นจะต้องทำโครงการเสนอต่อองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อต่อยอดขยายสายอาชีพในระดับชุมชนต่อไป
       
       อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กล่าวต่อว่า ทางสถาบันจะเริ่มนำร่องอบรมโครงการดังกล่าว ในเดือน พ.ค.มีสถานศึกษาที่เปิดอบรม ดังนี้ คณะศิลปวิจิตร คณะศิลปศึกษา คณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ วิทยาลัยช่างศิลป (ลาดกระบัง) วิทยาลัยนาฏศิลป(ศาลายา) โดยหลักสูตรที่จะเปิดอบรม ได้แก่ เทคนิคแต่งหน้าผู้แสดง การขับร้องเพลงไทย เพลงสากล การรำนาฏศิลป์ไทย การออกแบบผลิตภัณฑ์ คอมพิวเตอร์กราฟฟิก เครื่องเคลือบดินเผา จากนั้นในเดือน มิ.ย.-ก.ย.จะมีการขยายการอบรมเข้าสู่วิทยาลัยนาฏศิลปในส่วนภูมิภาคทั้ง 11 แห่ง ได้แก่ ภาคกลาง วิทยาลัยช่างศิลปสุพรรณบุรี วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทองและลพบุรี ภาคเหนือ วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และ นครราชสีมา ภาคใต้ วิทยาลัยช่างศิลปนครศรีธรรมราช วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช และพัทลุง และภาคตะวันออก วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี อย่างไรก็ตาม สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมในเว็บไซต์ http://www.tonkla-archeep.com

อ่านต่อที่ : วธ.ทุ่ม 100 ล.สร้างต้นกล้าอาชีพ เปิด 28 หลักสูตร ดึงคนอบรมแถมค่าตอบแทนเฉียดหมื่น/ด.

THAI จ่อ กู้ 6 หมื่นลบ.ในปีนี้ พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in ข่าวด่วน.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

THAI จ่อ กู้ 6 หมื่นลบ.ในปีนี้

บมจ.การบินไทย(THAI)เผยเตรียมแผนระยะสั้นช่วง 3 ปี(ปี 52-54)เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตอย่างมั่นคง โดยปีนี้บริษัทจะกู้เงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A330-300 จำนวน 4 ลำ จ่ายคืนหนี้ระยะสั้น และไว้สำหรับเสริมสภาพคล่องภายในบริษัท
         

ขณะที่ตั้งเป้ารายได้บริษัทในช่วง 3 ปีนี้ เติบโตปีละ 3-8% โดยรักษาระดับอัตราบรรทุกผู้โดยสาร(Cabin Factor)ไว้ที่ 76%ตลอด 3 ปีนี้  และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม (EBITDA)จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4 หมื่นล้านบาทในปี 54 จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้อย่างน้อย 3 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิมาถึงระดับ 1 หมื่นล้านบาท โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการอย่างเข้มงวด
         

นายวัลลภ พุกกะณะสุต ประธานกรรมการบริหาร THAI กล่าวกับ”อินโฟเควสท์”ว่า แผนเบื้องต้นบริษัทจะกู้เงินจำนวน 2 หมื่นล้านบาท ภายในเดือนก.ค.52 เพื่อนำชำระคืนหนี้ระยะสั้นและเสริมสภาพคล่องของบริษัท ซึ่งแผนนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการชุดใหม่ รมว.คลัง และ รมว.คมนาคม โดยจะนำแผนดังกล่าวเสนอครม.เศรษฐกิจเพื่อรับทราบในเร็วๆนี้
         

“ภายใน 2-3 เดือน หรือภายในเดือนก.ค. เราจะกู้เงินก้อนแรกก่อน 2 หมื่นล้านบาท …คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา แต่ในปีนี้เราจะกู้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกู้จากต่างประเทศ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยถูกกว่า” นายวัลลภกล่าว
         

ปัจจุบัน บริษัทมีกระแสเงินสด(cashflow)ประมาณ  7 พันล้านบาท/เดือน ซึ่งต่ำกว่าปกติที่จะต้องมีกระแสเงินสดประมาณ 1 หมื่นล้านบาท/เดือน
         

สำหรับเงินชำระค่าเครื่องบิน A330-300 จำนวน 4 ลำ ที่จะรับมอบในครึ่งปีหลัง จากที่รับมอบไปแล้ว 2 ลำในปีนี้ บริษัทเจรจากับ European Credit Garantee Department ซึ่งเป็นหน่วยงานของสหภาพยุโรป โดยการบินไทยจะให้องค์กรดังกล่าวช่วยค้ำประกันเงินกู้ที่จะชำระค่าเครื่องบิน ซึ่งยังต้องจ่าย 85% ราคาเครื่องบิน รวมประมาณ กว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนอีก 2 ลำที่เหลือจะรับมอบในปีหน้า ก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาด้านการเงินแล้ว
         

นายวัลลภ กล่าวว่า แผนระยะสั้นตั้งเป้าอัตราเติบโตของรายได้ปีละ 3-8% โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1.5-1.7 แสนล้านบาท และ EBITDA อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท หรือกรณีที่ดีที่สุดคาดว่าจะได้ 3.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งตามแผนในปี 54 คาดว่า EBITDA จะเพิ่มมาเป็นประมาณ 4-4.2 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้ารักษา Cabin Factor ที่ 76% ตลอด 3 ปีนี้
         

“จากผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เราเชื่อว่าปีนี้เราจะทำกำไร 7-8 พันล้านบาท และมี EBITDA ได้ 3 หมื่นล้านบาท  โดยไตรมาส 4 น่าจะเติบโตได้ดี” นายวัลลภ กล่าว

อ่านต่อที่ : THAI จ่อ กู้ 6 หมื่นลบ.ในปีนี้

คลังคาดปล่อยกู้ให้ นศ.ผ่านกองทุน กรอ.ได้ 20,000 ราย พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

คลังคาดปล่อยกู้ให้ นศ.ผ่านกองทุน กรอ.ได้ 20,000 ราย

คลังคาดปล่อยกู้ให้ นศ.ผ่านกองทุน กรอ.ได้ 20,000 ราย

ก.คลัง 14 พ.ค.- นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ (13 พ.ค.) มีมติเห็นชอบให้มีการกู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) สำหรับผู้กู้ยืมรายใหม่ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2552 ที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคน ซึ่งจะให้กู้ยืมเฉพาะค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา

ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมจะต้องมีคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการกองทุน กรอ. กำหนด สามารถเปิดให้นักเรียนนักศึกษากู้ยืมได้ประมาณ 20,000 ราย ซึ่งการกู้ยืมครั้งนี้จะใช้เงินงบประมาณคงเหลือของ กรอ. ที่มีอยู่จำนวน 6,800 ล้านบาท โดยไม่ต้องของบประมาณจากรัฐบาล นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังมีมติให้เร่งแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อจัดระบบการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาให้มีเอกภาพเพียงระบบเดียว ซึ่งจะส่งผลให้สามารถตอบสนองความต้องการบุคลากรในสาขาวิชาที่ขาดแคลนและจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ โดยขอให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จทันในปีการศึกษา 2553

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า กองทุน กรอ. เป็นกองทุนที่สนับสนุนการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นิสิตนักศึกษา โดยมีหลักการให้ผู้เรียนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมและรัฐยังคงรับภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา และเป็นกลไกสำคัญในการผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานภายในประเทศ โดยการสนับสนุนให้มีการกู้ยืมเงินกองทุน กรอ. ในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้เรียนในสาขาวิชาที่ขาดแคลนและจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ อาทิ แพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และสัตวแพทยศาสตร์ (กู้ได้ 150,000 บาท/คน/ปี) สาธารณสุขศาสตร์ พยาบาลศาสตร์และเภสัชศาสตร์ (กู้ได้ 80,000 บาท/คน/ปี) วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบางสาขา เช่น ซอฟต์แวร์และมัลติมีเดีย เคมีอุตสาหกรรม วัสดุศาสตร์ และเซรามิกส์ (กู้ได้ 70,000 บาท/คน/ปี) ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป

สำหรับการชำระคืนเงินกู้นั้น จะเริ่มชำระคืนเมื่อจบการศึกษา มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 2 ปีแรก หลังจากนั้นสามารถผ่อนชำระคืนได้ภายใน 15 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 นักเรียนนักศึกษาที่มีความสนใจจะกู้ยืมเงินกองทุน กรอ. สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กย
.) หมายเลขโทรศัพท์ 0 2610 4888 และ website ของกองทุน กยศ. : http://www.studentloan.or.th.-สำนักข่าวไทย

อ่านต่อที่ : คลังคาดปล่อยกู้ให้ นศ.ผ่านกองทุน กรอ.ได้ 20,000 ราย

คลังเดินหน้าเก็บภาษีที่ดิน พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in ข่าวด่วน.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

คลังเดินหน้าเก็บภาษีที่ดิน

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินและที่ดินจะเดินหน้าตามกระบวนการหลังจากกระทรวงการคลังได้สรุปผลการศึกษาแล้วและขณะนี้อยู่ระหว่างการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง หลังจากนั้นจะเตรียมนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีภายในปีนี้ ก่อนจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มจัดเก็บภาษีได้ในปี 54  ซึ่งจะทำรายได้จากภาษีดังกล่าวปีละ 6-7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเข้ามาทดแทนรายได้ส่วนหนึ่งจากภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่ที่จะหายไปด้วย
         

“กว่าจะประกาศใช้ กระทรวงคลังตั้งไว้จะจัดเก็บในอีก 2 ปีก็ราวปี 54 โดยประมาณ ตอนนี้คลังเดินสายทำความเข้าใจ จะนำเข้าคณะรัฐมนตรีภายในปีนี้”นายกรณ์ กล่าว
         

ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง วัตถุประสงค์ของภาครัฐไม่ได้ต้องการเน้นการหารายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้ที่จัดเก็บเป็นของท้องถิ่น แต่ระบบการจัดเก็บภาษีดังกล่าวต้องการสร้างความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคม และปรับโครงสร้างของระบบภาษีให้มีความเหมาะสม ซึ่งจะนำมาใช้จัดเก็บทดแทนภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่  เนื่องจากโครงสร้างเดิมไม่ยุติธรรม
         

ปัจจุบัน ภาษีโรงเรือนไม่ได้มีการจัดเก็บตามมูลค่าของที่ดิน แต่จัดเก็บตามรายได้  จึงทำให้ผู้มีรายได้จากทรัพย์สินต้องเสียภาษี ขณะที่ที่ดินเปล่าไม่ต้องเสียภาษี ส่วนภาษีบำรุงท้องที่ อ้างอิงการประเมินมูลค่าที่ล้าสมัยตั้งแต่ปี 24-25 ดังนั้น จึงต้องปรับปรุงระบบภาษีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งในต่างประเทศการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ของท้องถิ่นคิดเป็น 70-80% ของรายได้ทั้งหมดของท้องถิ่น ขณะที่ของไทยคิดเป็นเพียง 1 ใน 10 ของรายได้ท้องถิ่นเท่านั้น 
         

นายกรณ์ กล่าวว่า เบื้องต้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะจัดเก็บจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งผู้ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินต้องเสียภาษีสูงกว่าผู้ใช้ประโยชน์ และอาจมีการยกเว้นภาษีสำหรับที่ดินแปลงขนาดเล็กที่ส่วนใหญ่เกษตรกรรายย่อยใช้เป็นที่ดินทำกิน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้มีที่ดินเปล่าจำนวนมาก ๆ นำที่ดินออกมาใช้ประโยชน์ โดยคาดหมายว่าอาจจะนำที่ดินมาให้เกษตรกรเช่าทำกิน ซึ่งจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของตรรกในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากยังมีประชาชนยากจนจำนวนมากไม่มีความสามารถเข้าถึงที่ดิน
         

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดจะจัดเก็บภาษีบ้านและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นรายได้กลับมาบำรุงท้องถิ่น เนื่องจากบ้านพักอาศัยของประชาชนก็ต้องใช้ประโยชน์จากระบบสาธารณูปโภคของท้องถิ่น จึงควรจ่ายเงินสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างประโยชน์กลับคืนมา
         

อย่างไรก็ตาม รมว.คลัง กล่าวยอมรับว่า แนวคิดการจัดเก็บภาษีมรดก ยังทำได้ยาก และหากพิจารณาจากรูปแบบการเก็บภาษีมรดกในต่างประเทศ ค่อนข้างยุ่งยาก และหลายประเทศลดบทบาทของภาษีมรดกไปมากแล้ว  ดังนั้นขณะนี้จึงขอเดินหน้าเก็บภาษีทรัพย์สินก่อน

อ่านต่อที่ : คลังเดินหน้าเก็บภาษีที่ดิน

คลังเดินหน้ารีดภาษีที่ดินคาด 2 ปีใช้ได้จริง พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in ทั่วไป.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

คลังเดินหน้ารีดภาษีที่ดินคาด 2 ปีใช้ได้จริง

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรงคลังอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องจัดเก็บภาษีทรัพย์สินและที่ดิน คาดว่าจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีภายในปีนี้ ก่อนจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา และจะสามารถเริ่มจัดเก็บภาษีได้ในปี 2554

โดยการจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะทำรายได้ให้รัฐได้ประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเข้ามาทดแทนรายได้ส่วนหนึ่งจากภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่ที่จะหายไป

ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง วัตถุประสงค์ของภาครัฐไม่ได้ต้องการเน้นการหารายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้ที่จัดเก็บเป็นของท้องถิ่น แต่ระบบการจัดเก็บภาษีดังกล่าวต้องการสร้างความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคม และปรับโครงสร้างของระบบภาษีให้มีความเหมาะสม ซึ่งจะนำมาใช้จัดเก็บทดแทนภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่  เนื่องจากโครงสร้างเดิมไม่ยุติธรรม

ปัจจุบัน ภาษีโรงเรือนไม่ได้มีการจัดเก็บตามมูลค่าของที่ดิน แต่จัดเก็บตามรายได้  จึงทำให้ผู้มีรายได้จากทรัพย์สินต้องเสียภาษี ขณะที่ที่ดินเปล่าไม่ต้องเสียภาษี ส่วนภาษีบำรุงท้องที่ อ้างอิงการประเมินมูลค่าที่ล้าสมัยตั้งแต่ปี 24-25 ดังนั้น จึงต้องปรับปรุงระบบภาษีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งในต่างประเทศการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ของท้องถิ่นคิดเป็น 70-80% ของรายได้ทั้งหมดของท้องถิ่น ขณะที่ของไทยคิดเป็นเพียง 1 ใน 10 ของรายได้ท้องถิ่นเท่านั้น  

โดยเบื้องต้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะจัดเก็บจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งผู้ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินต้องเสียภาษีสูงกว่าผู้ใช้ประโยชน์ และอาจมีการยกเว้นภาษีสำหรับที่ดินแปลงขนาดเล็กที่ส่วนใหญ่เกษตรกรรายย่อยใช้เป็นที่ดินทำกิน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้มีที่ดินเปล่าจำนวนมากๆ นำที่ดินออกมาใช้ประโยชน์ โดยคาดหมายว่าอาจจะนำที่ดินมาให้เกษตรกรเช่าทำกิน ซึ่งจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของตรรกในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากยังมีประชาชนยากจนจำนวนมากไม่มีความสามารถเข้าถึงที่ดิน

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดจะจัดเก็บภาษีบ้านและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นรายได้กลับมาบำรุงท้องถิ่น เนื่องจากบ้านพักอาศัยของประชาชนก็ต้องใช้ประโยชน์จากระบบสาธารณูปโภคของท้องถิ่น จึงควรจ่ายเงินสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างประโยชน์กลับคืนมา

สำหรับการจัดเก็ฐภาษีมรดกคาดว่า ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากค่อนข้างยุ่งยาก

อ่านต่อที่ : คลังเดินหน้ารีดภาษีที่ดินคาด 2 ปีใช้ได้จริง