jump to navigation

จีนเล็งหนุนเอกชนลงทุนใน “อุตสาหกรรมของรัฐ” พฤษภาคม 27, 2009

Posted by 1000thainews in ต่างประเทศ.
Tags: ,
add a comment

จีนเล็งหนุนเอกชนลงทุนใน “อุตสาหกรรมของรัฐ”
การลงทุนภาครถไฟที่รัฐบาลจีนทุ่มงบประมาณมหาศาลพัฒนา ยังอยู่ในสภาพประหนึ่งผูกขาดในกลุ่มวิสาหกิจรัฐจีน

       ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจรัฐรายใหญ่หลายรายอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของรัฐบาล ครองความได้เปรียบมากมาย ทั้งด้านเงินทุน การเข้าจดทะเบียนในตลาด และการทำสัญญา รัฐวิสาหกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่บริหารโดยผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายภาคอุตสาหกรรม สภาพดังกล่าวอาจไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เอ็นดีอาร์ซีย้ำหนักหนาระหว่างการแถลงคือ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจเลวร้ายลงไปอีกเนื่องจากวิกฤตการเงินโลก ดังนั้นจึงต้องมีการปฏิรูป
       

       ในแถลงการณ์ไม่ได้ระบุถึงการอนุญาตต่างชาติเข้าลงทุนในภาคต่างๆ หรือจะมีการตัดสินนโยบายนี้เมื่อไหร่
       
       ที่ผ่านมาผู้นำจีนได้สร้างกลุ่มบริษัทของรัฐเพื่อควบคุมอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างเช่น น้ำมัน โทรคมนาคม และการเงินการธนาคาร แต่ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยอมรับว่าประสิทธิภาพการแข่งขันของบริษัทเหล่านี้ ด้อยกว่าภาคเอกชน
       
       จีนได้ลดบทบาทของรัฐบาลในภาคเศรษฐกิจลงมากนับตั้งแต่ดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจ ปี 2522 (1979) แต่กลุ่มเศรษฐกรชี้ว่าจีนต้องเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้หากหวังรักษาอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มพูนรายได้.

อ่านต่อที่ : จีนเล็งหนุนเอกชนลงทุนใน “อุตสาหกรรมของรัฐ”

หนี้รัฐกัดกิน ลิ่ว8.3หมื่นล. พฤษภาคม 27, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: ,
add a comment

หนี้รัฐกัดกิน ลิ่ว8.3หมื่นล.

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ยอด หนี้สาธารณะเดือนมี.ค. 2552 มี จำนวน 3.69 ล้านล้านบาท หรือ 40.97% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เทียบกับเดือนก่อนหน้า จะพบว่าหนี้สาธารณะ ของไทยเพิ่มขึ้น 8.38 หมื่นล้านบาท

ยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมา จากการที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้นประมาณ 7.78 หมื่นล้านบาท และหนี้ที่รัฐวิสาหกิจกู้และสถาบันการเงินกู้โดยที่รัฐบาลค้ำประกันเพิ่มขึ้น 1.76 หมื่นล้านบาท

สำหรับยอดหนี้สาธารณะ ที่เพิ่มขึ้นในเดือนมี.ค. 2552 นั้นถือเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2551 ซึ่งยอดหนี้สาธารณะอยู่ที่ 3.33 ล้านล้านบาท คิดเป็น 35.49% ถือเป็นเดือนที่หนี้สาธารณะเพิ่มมากที่สุดในรอบ 8 เดือน ทำลายสถิติหนี้สาธารณะเดือนก.พ. 2552 ที่เพิ่มขึ้นสูงสุด 7.37 หมื่นล้านบาทด้วย

นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นสุทธิของหนี้สาธารณะในเดือนมี.ค. เกิดจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงและหนี้ รัฐวิสาหกิจ

รายการที่สำคัญเกิดจากการกู้เงินด้วยการออกตั๋วเงินคลังจำนวน 1.04 แสนล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ 2552 และการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีก 3.9 หมื่นล้านบาท

สำหรับหนี้รัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้นสุทธิ 1.76 หมื่นล้านบาท เกิดจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเบิกจ่ายเงินกู้ระยะสั้น 1.6 หมื่นล้านบาท

ขณะที่หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกันลดลงสุทธิ 1.18 หมื่นล้านบาท เพราะการชำระหนี้ในประเทศและหนี้ต่างประเทศ โดยหนี้ในประเทศที่ลดลงเกิดจากบริษัท ปตท. ไถ่ถอนพันธบัตร 3,800 ล้านบาท ส่วนหนี้ต่างประเทศที่ ลดลงรายการสำคัญเกิดจากการชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน

ผู้อำนวยการสบน. กล่าวว่า ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาของปีงบ ประมาณ 2552 ภาครัฐได้กู้เงิน ในประเทศรวมทั้งสิ้น 3.76 แสนล้านบาท แยกเป็นการกู้เงินของกระทรวงการคลัง 2.32 แสนล้านบาท และเป็นการกู้ยืมของรัฐวิสาหกิจจำนวน 1.44 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันได้ชำระคืนต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม จากงบประมาณรวมแล้วทั้งสิ้น 8.35 หมื่นล้านบาท

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลใน เดือนพ.ค. ที่จัดเก็บได้ดี ทำให้จากปลายเดือนเม.ย. ถึงขณะนี้เงินคงคลังเพิ่มขึ้นกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดเงินคงคลังเพิ่มมาอยู่ที่ 1.15 แสนล้านบาท สามารถรองรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและเร่งด่วน ทั้งรายจ่าย ลงทุน และชำระหนี้ได้

อ่านต่อที่ : หนี้รัฐกัดกิน ลิ่ว8.3หมื่นล.

THAI-MCOTกำไรโต พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in หุ้น.
Tags: , , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

THAI-MCOTกำไรโต

นักวิเคราะห์และนักวิชาการต่าง คาดการณ์ตรงกันว่า ในไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยจะติดลบมากกว่า 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะมีปัจจัย ลบทางการเมืองและปัจจัยต่างประเทศ ประเดประดังเข้ามา ทำให้การส่งออก ทรุดลงแรง และกระทบต่อธุรกิจของ เอกชน แต่ผลการดำเนินงานของ บริษัทในตลาดหุ้นที่เป็นรัฐวิสาหกิจยัง มีผลกำไรสุทธิที่ดี โดยเฉพาะบริษัท การบินไทย (THAI) กำไรพุ่งขึ้นกว่า 255% เป็น 7,868.56 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 4.63 บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม หากแกะเข้าไปดูในรายละเอียดของกำไร ก็จะพบว่าการบินไทยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงถึง 4,609 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันปีก่อนขาดทุนจากค่าเงิน 663 ล้านบาท ส่วนผลงานที่แท้จริงกลับแย่ลง มีรายได้รวมเพียง 41,270 ล้านบาท ลดลงถึง 14,581 ล้านบาท หรือ 26.1% เทียบกับจำนวน 55,851 ล้านบาท แม้ว่าได้ราคาน้ำมันเครื่องบินที่ลดลงโดยเฉลี่ย 45.2% มาช่วยก็ตาม

ทั้งนี้ ข่าวดีเรื่องการบินไทยกำไรปูด ช่วยให้ราคาหุ้น THAI แข็งแกร่ง ระหว่างวันพุ่งขึ้นถึง 19.20 บาท ก่อนย่อมาปิดที่ 17.10 บาท บวก 0.10 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย หนาตา 770 ล้านบาท สวนทางกับดัชนีหุ้นโดยรวมที่ดิ่งลงแรงถึง 26.16 จุด ซึ่งคิดเป็น 4.73%

ส่วนบริษัท อสมท (MCOT) สามารถ ทำกำไรสุทธิได้ดีขึ้น เป็น 293 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 0.42 บาทในไตรมาสแรกปีนี้ พุ่งขึ้น 25.31% จากกำไรสุทธิ 233.82 ล้านบาท หรือ 0.34 บาทต่อหุ้น เพราะ รายได้รวมเพิ่มขึ้น 11% จาก 930 ล้านบาท เป็น 1,031 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นเพียง 4% เป็น 637 ล้านบาท

อ่านต่อที่ : THAI-MCOTกำไรโต

บี้ทีโอที-กสทฯหารายได้หลัง3ปีไร้ค่าต๋งมือถือ พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

บี้ทีโอที-กสทฯหารายได้หลัง3ปีไร้ค่าต๋งมือถือ

ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งให้บริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม หยุดดำเนินการโครงการต่างๆ รวมทั้งการประมูลทั้งหมด โดยให้ทำแผนลงทุนและการทำธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอไอซีทีก่อนดำเนินการ

สำหรับแผนปรับปรุงธุรกิจของทั้งสองหน่วยงานที่ต้องการให้เน้นคือ การชดเชยรายได้ที่หายไปจากการทำธุรกิจหลัก เช่น การนำเสนอโปรโมชันค่าบริการโทรศัพท์พื้นฐานให้สามารถสู้กับโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งแผนทั้งหมดจะนำเสนอต่อคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ภายในสิ้นเดือนพ.ค.นี้

ทั้งนี้ ทีโอที กับ กสทฯ ได้จ้างที่ปรึกษาต่างประเทศเพื่อมาดูแลการแข่งขันในระดับสากล รวมถึงการวางแผนพัฒนาคลื่นความถี่ 1900 เมกะเฮิรตซ์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากอีก 3 ปีข้างหน้าสัมปทานมือถือจะหมดอายุ ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างรายได้ด้วยตนเองเพื่อรับการแข่งขัน

สำหรับการดำเนินการ 3จี ของ ทีโอทีนั้น เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว แม้ว่าจะช้าไปบ้างแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ซึ่งมีข้อดี คือ ได้อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่มีราคาถูกลง

ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ กล่าวว่า ได้ส่งรายชื่อบอร์ดกสทฯ ใหม่ 3 ท่าน รวมรายชื่อบอร์ดเดิมอีก 8 ท่าน ให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นพิจารณา ประกอบด้วย นพ.ปราชญ์ บุญยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และนาย กฤษดา กวีญาณ เป็นตัวแทนภาครัฐ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน เพื่อเข้ามาทำหน้าที่แทนบอร์ดบางท่านที่จับฉลากออก โดยต้องรอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ประกาศ

ด้านนายสุชิน พึ่งวรอาสน์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสทฯ กล่าวว่า กสทฯ ได้ลดค่าบริการโทรศัพท์ทางไกลผ่านอินเทอร์ เน็ตภายใต้เลขหมาย 009 เหลือนาทีละ 4 บาท ไปยัง 8 ประเทศหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง เพื่อกระตุ้นการใช้งาน

ทั้งนี้ เนื่องจากผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่ผ่านมา ปริมาณการใช้งานรหัส 009 ลดลง 15% ขณะที่บริการ 001 ลดลง 20% โดยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ประกอบกับการกดเครื่องหมายบวกที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ส่งผลให้บริษัทเสียโอกาสทางตลาดมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าว่าแคมเปญดังกล่าว จะเพิ่มปริมาณการใช้งานในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ย. ได้ประมาณ 10% เพื่อให้มีรายได้รวมที่ 6,500 ล้านบาท ตามที่วางไว้

อ่านต่อที่ : บี้ทีโอที-กสทฯหารายได้หลัง3ปีไร้ค่าต๋งมือถือ

กับแกล้มการเมือง:รายชื่อ กมธ.35 คณะ พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in ทั่วไป.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

กับแกล้มการเมือง:รายชื่อ กมธ.35 คณะ

ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 82 ให้สภาตั้ง “คณะกรรมาธิการสามัญ” ขึ้น 35 คณะ แต่ละคณะประกอบด้วยกรรมาธิการมีจำนวน 15 คน ประกอบด้วย 1.กมธ.การกฎหมาย 2.กมธ.การศึกษา 3.กมธ.กิจการสภาผู้แทนราษฎร 4.กมธ.กิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน 5.กมธ.กิจการชายแดนไทย
 
6.กมธ.กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ 7.กมธ.แก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ 8.กมธ.การเกษตรและสหกรณ์ 9.กมธ.การคมนาคม 10.กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ 11.กมธ.การคุ้มครองผู้บริโภค 12.กมธ.การเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน 13.กมธ.การต่างประเทศ 14.กมธ. การตำรวจ 15.กมธ.ติดตามบริหารงบประมาณ
 
16.กมธ.การทหาร 17.กมธ.การท่องเที่ยวและกีฬา 18.กมธ.การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 19.กมธ.การปกครอง 20.กมธ.การปกครองส่วนท้องถิ่น 21.กมธ.การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด 22.กมธ.การป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย 23.กมธ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ 24.กมธ.การพลังงาน 25.กมธ.การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน
 
26.กมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจ 27.กมธ.การพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา 28.กมธ.การแรงงาน 29.คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 30.กมธ.การส่งเสริมราคาผลิตผลเกษตรกรรม 31.กมธ.การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม 32.กมธ.การสวัสดิการสังคม 33.กมธ.การสาธารณสุข 34.กมธ.การสื่อสารและโทรคมนาคม 35.กมธ.การอุตสาหกรรม.

อ่านต่อที่ : กับแกล้มการเมือง:รายชื่อ กมธ.35 คณะ

ปตท.ยันถือIRPCยาว หาจังหวะเก็บเพิ่ม4% พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in หุ้น.
Tags: , , , , , , , , , ,
add a comment

ปตท.ยันถือIRPCยาว หาจังหวะเก็บเพิ่ม4%

ประเสริฐ บุญสัมพันธ์

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า บริษัท ปตท. จะถือหุ้นใน IRPC เพื่อลงทุนระยะยาว ไม่คิดขายออก และหากมีโอกาสก็จะซื้อหุ้นเพิ่ม แต่เก็บได้เต็มที่ 40% ของทุนชำระแล้ว จากปัจจุบันถืออยู่ 36% เพราะหากถือมากกว่านั้น IRPC จะกลายเป็นรัฐวิสาหกิจเมื่อนับรวมกับหุ้นของธนาคารออมสิน และหากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จะขายต้องขายให้ปตท.ก่อน

นอกจากนี้ เมื่อครั้งมีการรีไฟแนนซ์หนี้ของ IRPC กับสถาบันการเงิน ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ในสัญญาเงินกู้ชัดเจนว่า ปตท.จะต้องถือหุ้นใน IRPC ขั้นต่ำ 25% หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขนี้การรีไฟแนนซ์หนี้ทั้งหมดก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่

สำหรับการเปลี่ยนแปลงประธานกรรมการใน IRPC จากพล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ เป็นนายณอคุณ สิทธิพงศ์ เป็นไปเพื่อความเหมาะสมและเพื่อให้การทำธุรกิจในกลุ่มปตท. มีความสอดคล้องกัน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเหตุผลทางการเมืองและนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตเจ้าของ เพราะทุกวันนี้นายประชัยไม่ได้ถือหุ้นใน IRPC เลย และหากจะเข้ามาซื้อในตลาด ก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่คิดว่าน่าจะทุ่มเทกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน มากกว่า

“จะดูข้อบังคับ IRPC ก่อนว่าจะลดจำนวนกรรมการในบอร์ดเหลือ 15 คน จากปัจจุบันอยู่ที่ 17 คน เท่ากับบริษัทอื่น ในเครือปตท. ได้หรือไม่”

อ่านต่อที่ : ปตท.ยันถือIRPCยาว หาจังหวะเก็บเพิ่ม4%

เมินเอกชน เน้นให้กู้รัฐ พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

เมินเอกชน เน้นให้กู้รัฐ

นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารมีความสนใจเข้าปล่อยสินเชื่อให้กับรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่กระทรวงการคลัง หรือหน่วยงานที่รัฐบาลให้การค้ำประกัน และสนใจที่จะปล่อยสินเชื่อในโครงการกระตุ้น เศรษฐกิจระยะที่ 2 ของรัฐบาล ที่เตรียมออกพ.ร.ก. และพ.ร.บ. เพื่อกู้เงิน 8 แสนล้านบาท ไว้ลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคโลจิสติกส์ และระบบชลประทาน

เลอศักดิ์ จุลเทศ

นายเลอศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารมีสภาพคล่องส่วนเกินล้นอยู่หลายหมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการออกสลากออมสินในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี จนมียอดขายสลากร่วม 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดเงินฝากคงค้าง ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2552 มีอยู่สูงกว่า 7.2 แสนล้านบาท

ดังนั้น การมุ่งเน้นปล่อยสินเชื่อโดยตรงให้กับรัฐวิสาหกิจที่กระทรวง การคลังค้ำประกันและรัฐบาล จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการระบายสภาพคล่องของธนาคาร

ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาธนาคารปล่อยกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจเพื่อนำไปลงทุนในหลายโครงการแล้ว เช่น โครงการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย 3,600 ล้านบาท การทางพิเศษแห่งประเทศไทยอีก 800 ล้านบาท รวมทั้งยอมลดดอกเบี้ยในโครงการรับจำนำข้าวให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 3.5 หมื่นล้านบาท

แหล่งข่าวธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า ธนาคารได้เตรียมพร้อมสำหรับการปล่อยกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจและรัฐบาล ทั้งในรูปเงินลงทุนและวงเงินทุนหมุนเวียนในปีนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 2-2.5 แสน ล้านบาท

สินเชื่อเอกชนนั้นปีนี้คงจอดสนิทแล้ว เพราะเสี่ยงเกินไปที่จะเกิดหนี้เสีย จึงเชื่อว่าปีนี้ทั้งปีก็จะติดลบ 1% ถึงลบ 2% เพราะเอกชนชะลอการผลิต จึงต้องจัดสรรสภาพคล่องมารองรับการปล่อยกู้ให้กับรัฐบาล เอกชนที่รับเหมางานจากรัฐบาลแทน ซึ่งน่าจะสร้างรายได้ และลดความเสี่ยง เพราะขณะนี้ต้นทุนทางการเงินระยะ 1 ปีต่ำมากแค่ 1.6-1.8% หากสามารถปล่อยกู้ที่ระดับดอกเบี้ย 4.5-5% ก็สามารถทำกำไรได้ดีกว่าให้เอกชนกู้ที่จะมีหนี้เสีย 2-5%” แหล่งข่าวเปิดเผย

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การที่รัฐบาลเตรียมกู้เงิน 8 แสนล้านบาท ถือเป็นข่าวดีที่ช่วยขับเคลื่อนการลงทุน ซึ่งสภาพคล่องในประเทศ มีเพียงพอไม่เป็นปัญหา และหากเป็นไปได้ธนาคารกรุงเทพก็มีความพร้อมและต้องการเข้าร่วมปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลด้วย

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ธนาคาร กรุงเทพได้สั่งการให้ จัดเตรียมเงินเพื่อรองรับการปล่อยกู้ให้กับรัฐบาล ในปีนี้ไว้ร่วม 1-2 แสนล้านบาท ทั้งการประมูลพันธมิตร และการปล่อยกู้โครงการรัฐ

อ่านต่อที่ : เมินเอกชน เน้นให้กู้รัฐ

หนีไม่พ้น พฤษภาคม 14, 2009

Posted by 1000thainews in ทั่วไป.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

หนีไม่พ้น

คมชัดลึก : เมื่อรัฐบาลนี้กำลังขนเงินขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อโปรยหว่านไปโดยอ้างว่าจะเป็นมาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้มีผู้ท้วงติงว่ารัฐบาลจะใช้จ่ายเกินตัวและต้องไปกู้เงินมาใช้ เอาเงินอนาคตมาใช้เป็นการสร้างภาระให้แก่ลูกหลาน ผู้ใหญ่ทางรัฐบาลก็ได้ออกมาแถลงเอาบุญเอาคุณว่าไปกู้เงินมาใช้ก็ดีอยู่แล้วที่ไม่รีดภาษีจากประชาชนเพิ่มขึ้น

ไม่วายที่กลิ่นปากจะจางหายไป รัฐบาลนี้ก็ต้องขึ้นภาษีนำมาโปะค่าใช้จ่ายที่ท่วมท้นรายได้โดยเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย อีกทั้งรายได้จากรัฐวิสาหกิจต่างๆ ก็ส่งมาไม่เข้าตามเป้า จึงหนีความจริงไม่พ้นลืมคำพูดที่กล่าวอ้างไว้สนิทแล้วก็หันมาเก็บภาษีเพิ่ม

 การเก็บภาษีเพิ่มในรอบแรกนั้น รัฐบาลได้แก้ขวยด้วยการเริ่มเก็บภาษีที่ผู้คนจะไม่ค่อยว่ากันด้วยคำพูดสวยๆ ที่ว่า “เก็บภาษีบาป” คือเก็บจากสุรายาเมาเหล้าเบียร์

 ภาษีบาปที่รอคิวอยู่ก็คือ ขึ้นภาษีบุหรี่ แล้วก็จะตามด้วยภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถเรียกว่าเป็นภาษีบาป ภาษีทรัพย์สินและที่ดินก็เข้าแถวรอคิวอยู่เช่นเดียวกัน

 อันว่าราคาน้ำมันนั้น ใครๆ ก็ยอมรับกันว่ามีผลต่อค่าครองชีพของประชาชนโดยตรง ชั้นต้นรัฐบาลก็คงจะไม่ต้องการให้ “ไก่ตื่น” โดยภาษีสรรพสามิตที่เก็บนี้จะมีวิธียักย้ายถ่ายเทเอาจากเงินกองทุนน้ำมัน เช่น บางท่านก็มาอธิบายว่าจะลดเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันสูงขึ้น แต่ถ้าน้ำมันต้องขึ้นราคาเพราะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นก็ช่วยไม่ได้ อนึ่ง การผันเงินเก็บเข้ากองทุนฯ ไปเป็นภาษีสรรพสามิตนั้นก็มีให้เพียงแค่เดือนสองเดือน ดังนั้น ถ้าราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มของโลก ก็เชื่อได้เลยว่าประชาชนจะโดนสองเด้ง ทั้งราคาขายปลีกที่เพิ่มจากราคาน้ำมันดิบและจากภาษีสรรพสามิต

 ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกนั้น ได้เริ่มส่งผลที่เป็นรูปธรรมชัดเจนแสดงออกทางปัญหาทางการคลังของประเทศไทย โดยมีข่าวว่างบปี 2552-2553 เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 นั้นปิดหีบไม่ลงจะต้องตัดลงถึงประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยเฉพาะจากโครงการของพรรคร่วมฯ และการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกลาโหม ซึ่งเป็นการบ้านที่แสนยากของนายกฯ อภิสิทธิ์อย่างน่าเห็นใจ

 ในเรื่องการตั้งงบประมาณ รวมทั้งการกู้เงิน 8 แสนล้านบาทมาเสริมเพิ่มงบลงทุนนั้น ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ก็เห็นเป็นการสมควร แต่แถมข้อสังเกตว่าจะต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพไม่ให้เกิดการทุจริตรั่วไหลแล้วแถมว่าในการลงทุนต่างๆ นั้นมีการเรียกค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 20% ของมูลค่าโครงการ

 ว่าอันที่จริงแล้ว ทีดีอาร์ไอก็มีทรัพยากรบุคคลพอที่จะสืบค้นหาความจริง ว่าโครงการใดบ้างของใครรับผิดชอบที่เรียกเงินค่าคอมมิชชั่นสูงขนาดนั้น ส่งให้ป.ป.ช.ดำเนินการไม่ใช่เพียงแต่กล่าวลอยๆ เหมือนชาวบ้านทั่วไป

 ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สรุปว่า เฉลี่ยคนไทยอย่างคุณอย่างผมจะเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเป็นคนละแสนบาท

 เรื่องที่หนีไม่พ้นก็คือ เป็นคนชาติใดก็ต้องเสียภาษี เว้นแต่คนชาติที่มีรัฐบาลเก่งและดี ภาษีก็จะตกแก่ประชาชน ทำให้กินดีอยู่ดีมีความสุข
ทำอย่างไรเราจะได้รัฐบาลที่เก่งและดี

นายหนูใหญ่
nainuyai@gmail.com

อ่านต่อที่ : หนีไม่พ้น