jump to navigation

บี้ทีโอที-กสทฯหารายได้หลัง3ปีไร้ค่าต๋งมือถือ พฤษภาคม 15, 2009

Posted by 1000thainews in เศรษฐกิจ.
Tags: , , , , , , , , , , , , , ,
add a comment

บี้ทีโอที-กสทฯหารายได้หลัง3ปีไร้ค่าต๋งมือถือ

ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งให้บริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม หยุดดำเนินการโครงการต่างๆ รวมทั้งการประมูลทั้งหมด โดยให้ทำแผนลงทุนและการทำธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอไอซีทีก่อนดำเนินการ

สำหรับแผนปรับปรุงธุรกิจของทั้งสองหน่วยงานที่ต้องการให้เน้นคือ การชดเชยรายได้ที่หายไปจากการทำธุรกิจหลัก เช่น การนำเสนอโปรโมชันค่าบริการโทรศัพท์พื้นฐานให้สามารถสู้กับโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งแผนทั้งหมดจะนำเสนอต่อคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ภายในสิ้นเดือนพ.ค.นี้

ทั้งนี้ ทีโอที กับ กสทฯ ได้จ้างที่ปรึกษาต่างประเทศเพื่อมาดูแลการแข่งขันในระดับสากล รวมถึงการวางแผนพัฒนาคลื่นความถี่ 1900 เมกะเฮิรตซ์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากอีก 3 ปีข้างหน้าสัมปทานมือถือจะหมดอายุ ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างรายได้ด้วยตนเองเพื่อรับการแข่งขัน

สำหรับการดำเนินการ 3จี ของ ทีโอทีนั้น เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว แม้ว่าจะช้าไปบ้างแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ซึ่งมีข้อดี คือ ได้อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่มีราคาถูกลง

ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ กล่าวว่า ได้ส่งรายชื่อบอร์ดกสทฯ ใหม่ 3 ท่าน รวมรายชื่อบอร์ดเดิมอีก 8 ท่าน ให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นพิจารณา ประกอบด้วย นพ.ปราชญ์ บุญยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และนาย กฤษดา กวีญาณ เป็นตัวแทนภาครัฐ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน เพื่อเข้ามาทำหน้าที่แทนบอร์ดบางท่านที่จับฉลากออก โดยต้องรอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ประกาศ

ด้านนายสุชิน พึ่งวรอาสน์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสทฯ กล่าวว่า กสทฯ ได้ลดค่าบริการโทรศัพท์ทางไกลผ่านอินเทอร์ เน็ตภายใต้เลขหมาย 009 เหลือนาทีละ 4 บาท ไปยัง 8 ประเทศหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง เพื่อกระตุ้นการใช้งาน

ทั้งนี้ เนื่องจากผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่ผ่านมา ปริมาณการใช้งานรหัส 009 ลดลง 15% ขณะที่บริการ 001 ลดลง 20% โดยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ประกอบกับการกดเครื่องหมายบวกที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ส่งผลให้บริษัทเสียโอกาสทางตลาดมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าว่าแคมเปญดังกล่าว จะเพิ่มปริมาณการใช้งานในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ย. ได้ประมาณ 10% เพื่อให้มีรายได้รวมที่ 6,500 ล้านบาท ตามที่วางไว้

อ่านต่อที่ : บี้ทีโอที-กสทฯหารายได้หลัง3ปีไร้ค่าต๋งมือถือ

ผลโพลทำอึ้ง!! เมื่อเผยปชช.คิดว่าการคอร์รัปชั่นเพื่อธุรกิจเป็นเรื่องปกติมากขึ้น-ศก.ตกสะเก็ดซื้อหวยน้อยลง พฤษภาคม 13, 2009

Posted by 1000thainews in ทั่วไป.
Tags: , , , , , , , , , , ,
add a comment

ผลโพลทำอึ้ง!! เมื่อเผยปชช.คิดว่าการคอร์รัปชั่นเพื่อธุรกิจเป็นเรื่องปกติมากขึ้น-ศก.ตกสะเก็ดซื้อหวยน้อยลง

ผลโพลทำอึ้ง!! เมื่อเผยปชช.คิดว่าการคอร์รัปชั่นเพื่อธุรกิจเป็นเรื่องปกติมากขึ้น-ศก.ตกสะเก็ดซื้อหวยน้อยลง

ผลวิจัยเอแบคโพลชี้ช่วงภาวะศก.ถดถอย ปชช.ใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้น โดยพิจารณาไปที่ตัวคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก รองลงมาคือเรื่องของราคา และส่วนใหญ่จะเน้นการรักษาข้าวของเครื่องใช้ให้มากขึ้น แถมซื้อหวยน้อยลง แต่ที่น่าตกใจคือคนคิดว่าการคอร์รัปชั่นในการทำธุรกิจเป็นเรื่องปกติเพิ่มขึ้น

 

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจ \”เอแบคเรียลไทม์โพลล์ (ABAC Real-Time Survey)\” เรื่อง \”ไลฟ์สไตล์ของประชาชนในการเลือกซื้อและใช้สินค้าในช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอย\” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร  เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย เพชรบูรณ์ ปทุมธานี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี เพชรบุรี หนองบัวลำภู สกลนคร  ศรีสะเกษ ขอนแก่น พัทลุง ระนอง และสุราษฎร์ธานี จำนวนทั้งสิ้น 1,362 ครัวเรือน ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2552

ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้า/บริการในสภาวะเศรษฐกิจเช่นปัจจุบันนี้นั้น พบว่าตัวอย่างร้อยละ 89.0 ระบุเลือกซื้อโดยคำนึงถึงคุณภาพของสินค้าเป็นสำคัญ รองลงมาคือร้อยละ 82.4 ระบุเลือกซื้อโดยคำนึงถึงราคา  ร้อยละ 64.8 ระบุความสะดวกในการเลือกซื้อ/ใช้บริการ ร้อยละ 64.1 ระบุมนุษยสัมพัน์ของพนักงานขาย  ร้อยละ 55.9 ระบุการบริการหลังการขาย 

นอกจากนี้ ผลการสำรวจในครั้งนี้พบว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า/บริการของประชาชน อาทิ โปรโมชั่นส่วนลด/ของแถม ความน่าเชื่อถือของยี่ห้อสินค้า (แบรนด์) ภาพลักษณ์ของบริษัท และความมีชื่อเสียงของ     แบรนด์ ยังคงมีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการในสายตาผู้บริโภค

เมื่อได้สอบถามถึงรูปแบบของการใช้สินค้าและการดำเนินชีวิตช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 82.8 พยายามรักษาข้าวของเครื่องใช้ให้คงสภาพใช้งานได้ยาวนาน  ในขณะที่ส่วนใหญ่เช่นกันหรือร้อยละ 76.1 ระบุว่าตนเองมุ่งทำงานเพื่อให้พออยู่พอกิน และมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น  ร้อยละ 70.9 ระบุว่า มีการวางแผนดำเนินการใช้จ่ายและหารายได้อย่างเป็นขั้นตอนและรัดกุม   และร้อยละ 66.3 ระบุว่ามีการทำงานหารายได้พิเศษเพิ่ม

ที่น่าสนใจคือ หลังเปรียบเทียบการซื้อหวยรัฐบาลหรือหวยใต้ดิน พบสัดส่วนของคนที่ซื้อลดน้อยลงจากร้อยละ 54.5 ในเดือนมีนาคม มาอยู่ที่ร้อยละ 43.5 ในการสำรวจล่าสุด

ดร.นพดล กล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้พบความเปลี่ยนแปลงในไลฟ์สไตล์หรือรูปแบบการใช้ชีวิตของประชาชนช่วงสภาวะเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองปัจจุบัน โดยประชาชนมีความเคร่งครัดในการใช้ชีวิตแบบพอเพียงมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีสัดส่วนของผู้ที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียงค่อนข้างเคร่งครัด-เคร่งครัดอย่างแท้จริงคิดเป็นร้อยละ 46.5 ในขณะที่การสำรวจในครั้งนี้พบว่ามีผู้ที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียงค่อนข้างเคร่งครัด-เคร่งครัดแท้จริงอยู่ที่ร้อยละ 67.6 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละยี่สิบ

แต่ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการเมืองสังคมวุ่นวายเช่นปัจจุบัน ผลวิจัยพบสัดส่วนของคนที่มีทัศนคติว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 67.4 ในการสำรวจปี 2551 มาอยู่ที่ร้อยละ 74.7 ในการสำรวจครั้งล่าสุด ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มอาชีพพนักงานเอกชน พ่อค้าผู้ประกอบการธุรกิจและกลุ่มข้าราชการ เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนของคนที่มีทัศนคติเห็นว่าการทุจริตคอรัร์ปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาสูงสุด และกำลังมีอย่างแพร่ระบาดมากขึ้นในกลุ่มเกษตรกรและรับจ้างใช้แรงงานทั่วไป

ผอ.ศูนย์วิจัยเอแบคฯ กล่าวว่า ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเมืองและสังคมกำลังอยู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อขณะนี้ ประชาชนส่วนใหญ่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตในการจับจ่ายใช้สอย โดยคำนึงถึงคุณภาพสินค้า ราคา และการใช้งานได้อย่างคงทนยาวนาน มีการประยุกต์ใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุดของการใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริงเพราะ ผลวิจัยครั้งนี้กลับพบว่ายังคงมีทัศนคติต่อการทุจริตคอรัปชั่นที่รุนแรงมากขึ้นในกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน กลุ่มพ่อค้าผู้ประกอบการธุรกิจ และกลุ่มข้าราชการ หากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีภาพลักษณ์ด้านความซื่อสัตย์สุจริต ถูกทำลายความน่าเชื่อถือในจุดแข็งหลักสำคัญด้านนี้ไป ก็นับเป็นสัญญาณอันตรายที่จะเริ่มนับถอยหลังของการบริหารราชการแผ่นดิน

 

ทางออกคือ รัฐบาลต้องแสดงผลงานและสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมให้หน่วยงานต่างๆ ที่เป็นกลไกของรัฐและทุกภาคส่วนของสังคมไทยออกมาต่อต้านต้นตอของปัญหาทุจริตคอรัปชั่นที่อาจถูกรัฐบาลและสังคมมองข้ามไป โดยต้องไม่ลืมว่าปัญหาทุจริตคอรัปชั่นมักเป็นปัจจัยสำคัญของการอ้างความชอบธรรมในการทำลายเสถียรภาพของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย

อ่านต่อที่ : ผลโพลทำอึ้ง!! เมื่อเผยปชช.คิดว่าการคอร์รัปชั่นเพื่อธุรกิจเป็นเรื่องปกติมากขึ้น-ศก.ตกสะเก็ดซื้อหวยน้อยลง